โรคนี้เกิดขึ้นอันเนื่องมาจาก “ความเสื่อมที่มาพร้อมกับวัย” ทำให้ผนังเส้นเลือดบางลงจากแรงเสียดทานของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดการพองตัวโป่งขึ้น ณ จุดที่อ่อนแอ ซึ่งมีโอกาสโป่งขึ้นกว่าเดิมจนถึงขั้น “ปริแตก” ส่งผลให้ “เลือดออกในสมอง” ก่อให้เกิดภาวะอาการหลายแบบ…ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ปริแตก ดังจะเห็นได้จากกรณีของผู้ป่วย 2 ท่านที่ได้เจอมาแล้วโดยมีอาการที่ตามมาไม่เหมือนกัน โดยท่านแรกที่ได้กรุณาสละเวลาถ่ายทอดเรื่องนี้ได้แก่ “คุณศุจิรัตน์ จีนานนท์” ชาวเมืองนครปฐม วัย 52 ปี และอีกท่านคือ “คุณสุพัฒน์ กิตติเจษฎา” ชาวกรุงเทพฯ วัย 78 ปี…

‘แตก’ โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

ทั้งนี้ “คุณศุจิรัตน์” ให้ข้อมูลสรุปว่า…มีเหตุเกิดในช่วงบ่ายวันหนึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จได้เกิดความรู้สึกเหมือนมีระเบิดลูกน้อย ๆ แตกดังปุ๊ในหัวและเกิดอาการปวดหัวรุนแรงขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที หลังจากนอนพักเป็นชั่วโมงแล้วยังลุกไม่ไหว แถมมีคลื่นไส้อาเจียน ลูกจึงพาไปโรงพยาบาล และได้รับการตรวจ-เจาะเลือดไปตรวจหลายครั้ง โดยยังไม่พบสาเหตุ หลังจากได้รับการฉีดยาแก้ปวด 1 เข็มแล้วค่อยยังชั่วจึงกลับบ้าน แต่อาการปวดหัวได้รบกวนอยู่ทั้งคืนจนเช้าจึงไปหาหมอที่คลินิกและได้รับคำแนะนำให้ไปโรงพยาบาลอีกรอบเพื่อหาหมอรักษาเรื่องสมอง เป็นผลให้ได้เข้ารับการเอกซเรย์จึงรู้ว่า “เส้นเลือดสมองแตก” ส่งผลให้ได้รับการส่งตัวไป “โรงพยาบาลธนบุรี” และเมื่อได้รับการตรวจโดยอาจารย์หมอแล้วก็ได้ให้รับตัวรักษาในโรงพยาบาล จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากถูกนำเข้าพักใน ICU ได้ราว 2 วันแล้ว จากนั้นอาการก็ดีขึ้นมาเป็นลำดับ โดยพักอยู่ในโรงพยาบาล 11 วัน ซึ่งปัจจุบัน “คุณศุจิรัตน์ จีนานนท์” หายเป็นปกติดีแล้ว

‘แตก’ โดยไม่รู้ตัวหมดสติไปเฉียบพลัน

อีกท่านเป็นผู้ป่วยชายมีนามว่า “คุณสุพัฒน์ กิตติเจษฎา” ได้ถูก “ภัยเงียบ” แบบเดียวกันนี้เล่นงานเมื่อเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาและหมดสติโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในช่วงเกิดเหตุตอนกลางคืนหลังจากเข้านอนแล้วอยู่ ๆ ได้เกิดอาการ “ท้องเสีย” ทั้ง ๆ ที่หลับ ไม่ว่าจะถูกปลุกอย่างไรก็ไม่ขานรับ หลานชายที่ดูแลจึงได้เรียกรถพยาบาลมาพาส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านกลางดึกแม้จะยังหลับใหลไม่ได้สติ โดย “คุณอัจฉรา กิตติเจษฎา” ซึ่งเป็นบุตรสาว ได้ไปดูอาการตอนเช้ารุ่งขึ้น และสงสัยว่าอาจเกิดปัญหาที่เส้นเลือดสมองจึงปรึกษากับคุณหมอ เป็นผลให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จึงทราบว่ามี “เลือดออกในสมอง” จากนั้นผู้ป่วยสูงวัยท่านนี้ก็ได้รับการส่งตัวไปรักษาที่ “โรงพยาบาลธนบุรี” และรอดพ้นอันตรายจากกรณี เส้นเลือดสมองโป่งพองปริแตก…และเกิดภาวะเลือดคั่งในสมอง… เช่นเดียวกับในรายของ “คุณศุจิรัตน์” ทั้งนี้ “ศ.คลินิก พญ.อัญชลี ชูโรจน์” ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านรังสีร่วมรักษา ประจำ“ศูนย์รักษาโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลธนบุรี” มีคำอธิบายดังนี้…

“…คุณสุพัฒน์เป็นหลอดเลือดโป่งพองแล้วก็แตกค่ะ ส่งผลให้มีเลือดเข้ามาในสมองด้วยปริมาณที่มาก และส่งผลให้เกิดความดันสูงขึ้นนะคะ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้ามีเลือดออกไม่มากก็อาจจะแค่ปวดหัวเหมือนอย่างกรณีของคุณศุจิรัตน์ แต่กรณีที่เลือดออกมากคนไข้ก็มักจะเกิดลักษณะแบบว่าอยู่ ๆ ก็จะเป็นเหมือนหมดสติไป ซึ่งพอดีว่าในเคสของ คุณสุพัฒน์ เราได้เห็นเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ว่าไม่ได้มีเลือดออกอยู่เฉพาะแค่บนผิวสมอง แต่เลือดเข้าไปอยู่ในโพรงสมองซึ่งอยู่ตรงกลางด้วย และในเมื่อเลือดเข้าไปอยู่ในโพรงสมองแล้วและระบายออกไม่ทันก็จะส่งผลให้โพรงสมองโตขึ้น ทำให้มีแรงดันกดจนกระทั่งถึงก้านสมอง อันนั้นคือแย่ล่ะ…ที่สำคัญที่สุดเลยคือเมื่อกดข้างบนมาแล้วเบียดลงมาตรงที่เป็นบริเวณของศูนย์หายใจ ซึ่งหากศูนย์หายใจมากดกับแกนกลางของสมองก็อาจจะทำให้หยุดหายใจได้นะคะ… ขั้นตอนการวินิจฉัยสำหรับแต่ละกรณีคือ คุณหมอแผนกฉุกเฉินจะตรวจความดันและอาการ Shock หากเห็นว่าคนไข้น่าจะปลอดภัยในระดับที่เคลื่อนย้ายได้ก็จะพาไปทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และพอเห็นว่ามีเลือดคั่ง คุณหมอศัลยกรรมระบบประสาทก็จะพิจารณาก่อน ถ้าเลือดออกไม่มากจึงจะพิจารณาวิธีที่เราจะทำการอุดหลอดเลือดโป่งพองตรงนั้นก่อน ซึ่งกรณีของคุณสุพัฒน์นั้นมีเลือดออกมาคั่งในโพรงสมองค่อนข้างเยอะ ทางศัลยกรรมถือเป็นเรื่องค่อนข้างเร่งด่วนที่จะใส่ท่อหรือชั้นเพื่อระบายก่อน หลังจากควบคุมได้ดีแล้วเราจึงจะเริ่มตรวจหลอดเลือดหาตำแหน่งที่โป่งพอง และรักษา โดยทำการฉีดสีตรวจดูหลอดเลือด ซึ่งหากเห็นว่าอยู่ในตำแหน่งที่เราสามารถอุดได้ก็จะทำเลยค่ะ…”

เทคโนฯ ‘อุดรอยแตก’ ไม่ต้องผ่าตัด

ส่วนวิธีการรักษา…ย้อนดูในกรณีของ “คุณศุจิรัตน์”… ทาง “อาจารย์หมออัญชลี” ได้ให้ความกระจ่างดังนี้…

“…เห็นว่ามีเลือดออกในผิวเยื่อหุ้มสมองจากการแตกของหลอดเลือดโป่งพอง ซึ่งโดยทั่วไปมักจะปวดหัวอย่างฉับพลันตามมาเลย ถ้าเป็นกรณีที่เลือดออกไม่มากและออกเฉพาะบนผิวสมอง คนไข้ก็จะไม่มีอาการใด ๆ ของระบบประสาท นอกจากปวดหัวมาก… ปัจจุบันมีวิทยาการของการรักษาโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ซึ่งเรียกว่ารังสีร่วมรักษาระบบประสาท ค่ะ โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีเจาะเข้าหลอดเลือดเพื่อใส่สายสวนเข้าไปที่บริเวณขาหนีบ รวมทั้งปัจจุบันสามารถเจาะเข้าที่แขน-ข้อมือ ในลักษณะเดียวกับใส่สายสวนไปทางหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเราฉีดตรวจพบจุดที่โป่งพองแล้วสามารถรักษาต่อโดย สอดใส่อุปกรณ์ไปวางอุดไว้ หากเอกซเรย์ดูแล้วเห็นว่าอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการก็จะปล่อยให้คาอยู่โดยไม่มีอันตรายอะไรค่ะ…”

…ถึงแม้จะมีโอกาสรักษาได้ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้า แต่ขอเรียนตรง ๆ ว่า…อย่าล้อเล่นกับ “ภัยเงียบ-เส้นเลือดสมองโป่งพอง” เด็ดขาด เพราะไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้รับการรักษาทันท่วงทีเหมือนผู้ป่วยทั้ง 2 ท่านนี้หรือไม่…ทางที่ดีแล้วท่านผู้อยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” เช่น… มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ หรือกรณีที่มีปัญหา หลอดเลือดเสื่อมตามวัย…โรคความดันโลหิตสูง…โรคเบาหวาน… เป็นต้น ก็ขอแนะให้ปรึกษากับคุณหมอผู้ชำนาญการเฉพาะทางเกี่ยวกับ “โรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท” ไว้ก่อนดีกว่า เพราะเดี๋ยวนี้ มีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้ามาช่วยตรวจกรณีเส้นเลือดสมองโป่งพอง ซึ่งจะทำให้คุณหมอช่วยวางแผนป้องกันการปริแตกไว้ล่วงหน้า… จะได้มั่นใจยิ่งขึ้นครับ.

หมอจอแก้ว