“ข้าพเจ้า ขอแสดงความชื่นชมในความตั้งใจของทุกท่าน ที่จะปฏิบัติงานโดยมีชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ประชาชนทุกคนต่างก็ต้องการความสุข และความมั่นคงปลอดภัย การที่ท่านทั้งหลาย ซึ่งมีหน้าที่บริหารกิจการบ้านเมือง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างถูกต้อง ว่าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และประกาศปณิธานนั้นอย่างหนักแน่นเข้มแข็ง ก็จะเป็นการเพิ่มพูนกำลังใจให้แก่ตนเอง และเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนได้ ข้าพเจ้า จึงขอเอาใจช่วยทุกท่าน และขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสามารถ และความคิดจิตใจที่เป็นสุจริต เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความเจริญ มั่นคงอย่างยั่งยืน”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัส ให้ กับ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ใหม่ เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าทำหน้าที่ โดยครม.ใหม่น้อมเกล้ารับนำมาปฏิบัติตลอดระยะเวลารัฐบาลที่เหลืออยู่
ถือเป็นการเริ่มเดินหน้าครม.“แพทองธาร1/2”ท่ามกลางสภาวะการหนีตายของ“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ที่กำลังถูกนิติสงครามไล่ล่าอย่างหนักหน่วง

ล่าสุดก่อนการเข้าถวายสัตย์ เจอศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยมติ 7 ต่อ 2 จนกว่า จะมีคำวินิจฉัย เนื่องจากปรากฏเหตุอันควรสงสัย ตามที่ 36 สว.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต กรณีคลิปเสียงสนทนา กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เข้าข่ายให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ โดยศาลให้ “นายกฯอิ๊งค์” ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน แต่สามารถขอศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาออกไปได้อีก15 วัน ซึ่งก็อยู่ที่ดุลยพินิจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า มีเหตุผลเพียงพอสมควรให้ขยายหรือไม่
กางไทม์ไลน์กระบวนการตาม หากศาลรัฐธรรมนูญให้โอกาส ก็จะยืดเวลาออกไปได้อีก15 วัน บวกลบคูณหารการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คาดว่าช่วงเดือนสิงหาคมจะเห็นความชัดเจนว่าการเมืองไทยจะเดินเข้าสู่ทางตัน กระดานการเมืองจะร้อนจนปรอทแตกหรือไม่ เพราะคดีไม่มีอะไรซับซ้อน จึงถือว่าอยู่ในช่วงอันตรายกระดานการเมืองสามารถพลิกเกมได้

กรณี“นายกฯอิ๊งค์”จะอยู่หรือไปหากเทียบเคียงได้กับ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แก่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน ก็นัดวินิจฉัยชี้ขาด รวมระยะเวลาประมาณราวๆ 2 – 3 เดือน ก็รู้ผล ซึ่งผลทางคดี มี 2 ทาง คือ “รอด-ไม่รอด”
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิด ก็จะรอดหลุดพ้นบ่วง สามารถนำพา“ครม.แพทองธาร ½” บริหารงานต่อไปได้ ท่ามกลางเสียงปริ่มน้ำของพรรคร่วมที่จ้องตีรันฟันแทง เพราะการแต่งตั้งครม.อิ๊งค์ ½ ไม่ตอบโจทย์ประเทศ

ดูจากแม่ทัพหญิงพรรคฝ่ายค้าน “ศิริกัญญา ตันสกุล” รองหัวหน้าพรรคประชาชน ชี้ว่าปัญหาของประเทศตอนนี้ เรื่องใหญ่ๆ ก็คือปัญหาความมั่นคง ปัญหาชายแดนต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องก็ยังคงมีปัญหาและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่เมื่อมาดูหน้าตาของ ครม.ชุดใหม่ ก็ยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด
ในบางกรณีกลับยิ่งเป็นการซ้ำเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความมั่นคงที่มีการเว้นว่างรมว.กลาโหม แทนที่เราจะแสดงความมีเสถียรภาพ และความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ปัญหานี้ควรมีรัฐมนตรีที่จะมารับผิดชอบเรื่องนี้เต็มเวลา เต็มอำนาจหน้าที่ก็กลับกลายเป็นว่าเว้นว่างไว้ แถมการตั้งรัฐมนตรีก็เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลเก้าอี้ต่างตอบแทน แก้ปัญหาเสถียรภาพภายในของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองมากกว่าที่จะแก้ปัญหาของประเทศ

หลังจากนี้ต้องเจอเกมร้อนในสภาผู้แทนราษฏร กับ พรรคฝ่ายค้านน้องใหม่อย่างพรรคภูมิใจไทยที่เป็นคู่แค้นจ้องถือดาบไล่ฟันดะ เห็นได้จากหลังที่พรรคภูมิใจไทยถูกเขี่ยให้ไปเป็นฝ่ายค้าน ก้าวแรกก็คือ ประกาศหาสส.เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจขอชำแหละ “นายกฯอิ๊งค์” กลางสภา แต่เจอพรรคประชาชนเบรกเกม ไม่เห็นด้วยกับศึกซักฟอก เพราะไม่ใช่คำตอบ
แต่หาก “ไม่รอด” โดยศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ความเป็นรัฐมนตรีของ“แพทองธาร ชินวัตร”สิ้นสุดลง ก็จะส่งผลให้ “ครม.แพทองธาร ½” ต้องหมดสภาพไปด้วยทั้งคณะ ต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่
จุดนี้จะเป็นตัวพลิกคว่ำกระดานการเมือง “ตระกูลชิน” ที่เห็นได้ชัดจากคำพูดของ “หัวหน้าเท้ง”ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ( ปชน.) และในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เป็นประธานการประชุมแกนนำ 5 พรรคร่วมฝ่ายค้านนัดแรก เพื่อหารือทิศทางการเมืองได้ข้อสรุป 4 ข้อ ปลดล็อกหาทางออกให้ประเทศ

คือ 1.การเดินหน้ากลไกในสภาทุกอย่าง เพื่อกดดันให้รัฐบาลหยุดเดินหน้าหรือถอนร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ออกไป โดยจะไม่เสนอร่างนี้กลับเข้ามาอีก 2.การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจัดทำประชามติ พร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ 3.การพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยังเห็นแตกต่างกันอยู่นั้นจะตั้งคณะทำงาน เพื่อศึกษาเรื่องนี้ 4.การยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ซึ่งเราเห็นตรงกันว่า ต้องรอความชัดเจนของคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณา “นายกฯอิ๊งค์” อยู่ จึงยังไม่ตัดสินใจจะยื่นญัตติเมื่อไหร่
สำหรับการเสนอตัวนายกฯ ชั่วคราวนั้น “หัวหน้าเท้ง”เปิดทางว่าต้องให้เกียรติ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยด้วย ซึ่งคงไม่เหมาะสมที่พูดไปก่อนหากยังไม่เกิดสถานการณ์ และตอนนี้นายกฯยังชื่อ “แพทองธารอยู่” พรรคร่วมฝ่ายค้านหารือกันว่า เราจะไม่ทำให้การเมืองเดินถึงทางตันประเทศต้องมีทางออกและสถานการณ์ยังไปไม่ถึงจุดนั้น

พร้อมบอก “พรรคประชาชน” ไม่ได้อยู่ที่ว่า จะโหวตให้ใครจะเป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” หรือ “อนุทิน” เราจะไม่ยึดติดกับตัวบุคคลหรือพรรค เราดูที่จุดยืนร่วมกันว่า การออกเสียงของพรรคประชาชน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่ละพรรค แต่ละคน มีจุดยืนของตัวเอง ในส่วนของพรรคประชาชน เรายืนยันในหลักการว่า การโหวตให้ใครก็ตามต้องเป็นการสร้างทางออกให้กับประเทศได้และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ถ้าดูแล้วในตะกร้าบัญชีนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน มีแคนดิเดตอยู่ 7 คน จาก 6 พรรคการเมืองประกอบด้วย 1.นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย 3.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี) 4.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ 5.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ 6.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ 7.นายวราวุธ ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทยพัฒนา

แต่เกมการเมืองไม่ใช่มีแค่หน้าเดียว อย่าลืมว่าพรรคประชาชน ก็เคยมีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย อย่างที่ “เสี่ยเอก” “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมายอมรับเคยพูดคุยกับ“ทักษิณ” เรียกดีลลับฮ่องกง หลังผลเลือกตั้งออกมาแล้วจะจับมือกันร่วมรัฐบาลระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ในช่วงแรกแต่ก็ต้องมาแพ้เหลี่ยมการเมืองให้กับ“ทักษิณ”และ “พรรคเพื่อไทย” ที่รอบจัดกว่า
จึงไม่ควรดูถูกการเดินเกมจาก “พรรคเพื่อไทย” เมื่อถึงเวลาโอกาสพลิกขั้วสลับหน้า หันไปจับมือดูดปากกับ “พรรคประชาชน” ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ก็ต้องดูว่า “พรรคเพื่อไทย” ยื่นเงื่อนไขถูกตาต้องใจกว่า “พรรคภูมิใจไทย” ขนาดไหนจะมีการยอมเปลี่ยนตัวนายกฯ โดยให้ “พรรคประชาชน” เป็นผู้เลือกก็จะน่าจะเกิดขึ้นได้ในสภาวะหนีตายของ “ตระกูลชิน” ซึ่งการเมืองตอนนี้ต้องจับตาแบบไม่กระพริบ