เอชไอวี” เป็นเชื้อไวรัสโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบในประเทศไทยมานาน และผ่านการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันโรค ป้องกันการแพร่ระบาด หรือหากติดเชื้อแล้วก็ให้รู้ถึงการรักษาและป้องกันการแพร่ระบาดสู่ผู้อื่น ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ

แต่ล่าสุดสถานการณ์พลิกกลับ พบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีตัวเลขกลับมาน่าห่วง ทั้งยังสัมพันธ์กับโรคติดเชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นที่เพิ่มขึ้นด้วย โดย นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยเมื่อต้นเดือน ก.ค. 2568 ว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีภาพรวมของประเทศ ปี 2568 ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสม 547,556 คน และผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 13,357 คน สาเหตุหลักติดเชื้อจากการไม่ป้องกัน และยังมีอีกหลายคนไม่ได้ตรวจ และไม่ทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีของตนเอง เพราะไม่ทราบว่าตนเองมีความเสี่ยง ไม่กล้าไปตรวจที่โรงพยาบาลเพราะกังวลเรื่องการถูกตีตราจากสังคม และไม่รู้ว่าสามารถตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้ ส่งผลให้ไม่ได้เข้าสู่ระบบการรักษา และอาจถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีไปสู่คู่ได้โดยไม่รู้ตัว

การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการดูแลสุขภาพทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ยิ่งตรวจเร็ว รู้ทัน ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และเข้าสู่ระบบการรักษาเร็ว จะทำให้ไม่ป่วยด้วยโรคแทรกซ้อน ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ได้ นอกจากนี้ การกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือดให้เหลือน้อยกว่า 200 copies/ml จะไม่ถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่นได้”

ที่จริงแล้ว คนไทยทุกคน สามารถรับบริการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) หรือขอรับชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง(HIV Self-Test) ได้ฟรีผ่านแอปเป๋าตัง และรับชุดตรวจที่หน่วยบริการใกล้บ้าน วิธีนี้ตรวจง่าย รู้ผลเร็วใน 20 นาที เมื่อรู้ผลแล้วค่อยไปตรวจยืนยันที่โรงพยาบาลและเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที หากผลตรวจไม่พบเชื้อจะได้คลายกังวลและป้องกันตัวเองอย่างเหมาะสมเวลามีเพศสัมพันธ์

ด้าน นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ระบุในการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพ ตอนหนึ่งว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 25-49 ปี และพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ เป็นกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี โดยร้อยละ 96.4 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

ทั้งนี้ จากการสำรวจพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัย โดยกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย คือ คนรัก/แฟน 95.1% คนรู้จัก 14.5% เพื่อน 8.3% เพศสัมพันธ์คืนเดียวหรือ one night stand 7.7% รู้จักผ่านแอป 6.8% และสอบถามถึงการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก มีอายุเฉลี่ย 15-16 ปี

“พบว่าอายุน้อยที่สุดคือ 12 ปี ซึ่งเป็นอายุน้อยที่ลดลง และค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะบางคนมองว่า มีเพศสัมพันธ์แค่ครั้งเดียวจึงไม่สวมถุงยาง ส่วนพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยนั้น พบว่า 57.2% ไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือใช้บางครั้ง”

ส่วนสถานการณ์โรคซิฟิลิส พบว่า ทุกกลุ่มอายุจากปี 2562 จำนวน 8,737 คน เพิ่มขึ้น 2.9 เท่า เป็นจำนวน 25,469 คนในปี 2567 โดยกลุ่มอายุ 15-24 ปี เพิ่มขึ้น 2.5 เท่าจากปี 2562 เป็นจำนวน 9,359 คนในปี 2567 ที่น่าเป็นห่วงคือ ซิฟิลิสแต่กำเนิด จากปี 2562 จำนวน 240 คน เพิ่มขึ้น 5.4 เท่า เป็นจำนวน 1,290 คน ในปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากแม่ที่อายุน้อยกว่า 25 ปี ซึ่งเกือบทั้งหมดฝากครรภ์ช้ากว่า 12 สัปดาห์ หรือไม่ฝากครรภ์ สำหรับปี 2568 แนวโน้มอัตราป่วยโรคซิฟิลิส อาจะเพิ่มสูงขึ้น โดย 5 จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี

“ขอเน้นย้ำว่า ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง กับทุกคนและทุกช่องทาง และต้องเร่งให้ความรู้กับวัยรุ่นเรื่องการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วย เช่น ซิฟิลิส หนองใน เป็นต้น”.