เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม หรือ “ทนายสุกิจ” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีข่าว “หลวงปู่แสง” พระเกจิชื่อดังแห่งภาคอีสาน ถูกกล่าวหาลวนลามหญิงสาว โดยระบุว่า

ตามประวัติถือว่า เป็นพระเกจิชื่อดังและพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของคนอีสาน ทั้งยังเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น พระอาจารย์ฟั่น ที่คนอีสานศรัทธาอย่างสูงด้วยเหนืออื่นใด ต้องไม่ลืมด้วยว่า ท่านไม่อาจแก้ข้อกล่าวหา ปกป้องตัวเองเรื่องนี้ได้ ก็ยิ่งต้องให้ความเป็นธรรมอย่างสูง อย่าคิดว่า บาปกรรมไม่มีจริง

เมื่อพิจารณาคลิปจากสื่อมวลชนจะเห็นได้ว่า มีนักข่าวหญิงไร้สังกัดคนหนึ่ง กับภรรยาสาวสวยของหมอปลา ขณะใช้วาจาไม่สุภาพกับพระนั้น หลวงปู่แสงนั่งนิ่ง แต่หลวงปู่น่าจะได้จากจิตสัมผัสว่า มีผู้มาก่อกวน จะโยนพระให้ และไล่ออกจากวัดนั้น นักข่าวสาวปากจัดและภรรยาอันแสนสวยของหมอปลาและหมอปลาพยายามเค้นความจริงจากหลวงปู่แสง ทั้งที่ตนเองไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายอะไรเลย ที่จะกระทำได้

ความผิดดังกล่าวไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าที่หลวงปู่แสงได้กระทำกับหญิงนั้นต่อหน้าหมอปลาและภรรยาและนักข่าวสาวกับพวก หมอปลาและภรรยา และทนายคู่ใจนั้น จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า เมื่อหลวงปู่ไล่หมอปลากับพวกออกจากวัด แต่หมอปลากับพวกยังไม่ยอมออกไปจากวัด และยังใช้สื่อมวลชนกดดัน ตามที่ตนเองตั้งใจไว้

การกระทำนั้น ย่อมเป็นความผิดทางอาญา ฐานข่มขื่นใจผู้อื่น อันเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ และความผิดฐานอื่นที่เป็นอาญาแผ่นดิน โดยมีเหตุฉกรรณ์

หลวงปู่แสง หรือลูกศิษย์ ย่อมมีอำนาจตามกฏหมายที่จะไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยโสธรดำเนินคดีกับหมอปลากับพวกตามคลิป ที่ได้ใช้วาจาไม่สุภาพกับหลวงปู่ในลักษณะบังคับให้สึก โดยไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่า หลวงปู่กระทำผิด นั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหญิงสาวที่อ้างว่าถูกหลวงปู่กระทำนั้น ก็เป็นเพียงกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์ และหญิงสาวก็ยอมรับในรายการโหนกระแส ไม่มีใครเห็นเพราะหลวงปู่ ตัวใหญ่บัง นั้น ย่อมไม่น่าเชื่อถือได้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อพิจารณาถึงสถานะหลวงปู่ อายุประมาณ 100 ปี มีอาการเจ็บป่วยตามข่าวและอยู่ในความดูแลของแพทย์ มูลเหตุจูงใจที่หลวงปู่จะกระทำผิดดังที่หมอปลาอ้าง ว่าได้รับการร้องเรียนจากหญิงสาว นั้นจึงไม่มี แต่เมื่อหลวงปู่ท่านไม่อาจแก้ตัวได้ เพื่อให้สังคมสิ้นสงสัย

ตำรวจตัองดำเนินคดีกับหมอปลากับพวกที่กระทำกับหลวงปู่ เพื่อธำรงไว้ เพื่อพระพุทธศาสนาให้อยู่ในจิตใจของประชาชนของชาวจังหวัดยโสธร และสานุศิษย์ต่อไป เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน ไม่ต้องมีใครร้องทุกข์กล่าวโทษ ตำรวจต้องดำเนินคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย

หากตำรวจยโสธรไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายอาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่.