เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลางดึกที่ผ่านมา (7 ก.ค.) พ.ต.ท.ทนงศักดิ์ เพ็ชรประกอบ สว.(สอบสวน) สน.ท่าข้าม รับแจ้งเหตุชายลื่นล้มศีรษะแตกหมดสติภายในบ้านหลังหนึ่ง ในการเคหะบางบอน ถนนพระราม 2 แขวงและเขตบางบอน กรุงเทพฯ จึงประสานหน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู และรถพยาบาลแพทย์กู้ชีพศูนย์เอราวัณไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น บนชั้นดาดฟ้า พบร่าง นายนก (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี นักเรียน ปวช.ปี 1 แผนกช่างอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่ง สภาพนอนนิ่งหายใจรวยรินอยู่บนพื้นไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงขายาวสีกรมท่า ที่หน้าท้องมีบาดแผลคล้ายรอยกระสุนปืน 1 แผล เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ช่วยกันปั๊มหัวใจยื้อสัญญาณชีพแล้วแต่ไม่เป็นผลเสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ

ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเพื่อนผู้ตายเป็นนักเรียนสถาบันเดียวกันอยู่ด้วย 3 คน โดยทุกคนอยู่ในอาการมีพิรุธ นอกจากนั้นยังพบกล่องใส่กระสุนปืนมีกระสุนปืนขนาด .380 ACP ยังไม่ได้ยิงเหลืออยู่ 1 นัด เจ้าหน้าที่จึงเค้นสอบ นายหรั่ง (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี หนึ่งในเพื่อนสนิทผู้ตาย หนักเข้าจึงยอมนำอาวุธปืนพร้อมปลอกกระสุนมามอบให้ พร้อมให้การเบื้องต้นว่า เพิ่งซื้อปืนมาราคา 6,000 บาท ก่อนเกิดเหตุชวนผู้ตายขึ้นไปลองปืนบนดาดฟ้ากัน 2 คน นัดแรกหันปากกระบอกไปในทิศปลอดภัยแต่ไม่ลั่นคิดว่าปืนเสียใช้การไม่ได้ จากนั้นจึงคิดอุตริจ่อปืนไปที่ท้องเพื่อนแล้วลั่นไกปืนลั่นใส่เข้าที่ท้องเพื่อนล้มฟุบ ด้วยความตกใจจึงวางแผนโทรศัพท์แจ้ง 191 ว่าเพื่อนลื่นล้มหมดสติ

เบื้องต้น พ.ต.ท.ทนงศักดิ์ จึงประสานแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และกองพิสูจน์หลักฐาน เข้ามาร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุและผู้เสียชีวิตไว้เป็นหลักฐาน หลังกลุ่มเพื่อนๆยอมรับสารภาพว่า เป็นอุบัติเหตุปืนลั่นใส่กันเอง ส่วนการตรวจค้นห้องพักชั้นที่ 3 ที่ผู้ตายและกลุ่มเพื่อนมามั่วสุมกันนั้นยังพบระเบิดปิงปองพันด้วยผ้าเทปพันสายไฟ 3 ลูก และ มีดดาบ 2 เล่ม จึงควบคุมตัวทั้งหมดไปดำเนินการตามขั้้นตอนกฎหมาย ส่วนศพ นายนก มอบให้แพทย์ไปทำการผ่าชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อประสานญาติมารับไปบำเพ็ญกุศลต่อไป

น.ส.ชลนิภา หาญกล้า อายุ 36 ปี อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุเป็นคนแรก กล่าวว่า เคสนี้ หากผู้แจ้ง โทรศัพท์แจ้งข้อเท็จจริงตั้งแต่แรกว่าถูกยิง ก็จะรีบจัดส่งรถพยาบาลที่มีอุปกรณ์สำหรับการกู้ชีพอย่างครบครันเข้ามาซึ่งอาจยื้อชีวิตเหยื่อไว้ได้ แต่กลุ่มผู้ต้องหากลับแจ้งเท็จว่าเป็นเพียงการลื่นล้มหมดสติ ทำให้หน่วยกู้ภัยชุดแรกที่เข้ามาจึงมีแค่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น กว่าจะได้รับการยืนยันว่าถูกยิงก็กินเวลานานมากแล้ว จึงถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตต่อตัวผู้บาดเจ็บ และผู้แจ้งเท็จอาจถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกด้วย