จากกรณี นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ “ลุงศักดิ์” หรือ “ลุงศักดินาเสื้อแดง” อายุ 62 ปี มาดักชกต่อย นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สาเหตุจากไม่พอใจที่ นายศรีสุวรรณ ชอบไปร้องเรียนบุคคลที่เห็นต่างทางความคิดการเมือง โดยเฉพาะกรณีของ “โน้ส-อุดม แต้พานิช” ที่นายศรีสุวรรณ โพสต์เฟซบุ๊กจะเอาผิดให้ได้ เหตุเกิดบริเวณหน้าตึกกองบัญชาการสอบสวนกลาง ท้องที่ สน.พหลโยธิน ซึ่งทาง นายศรีสุวรรณ ได้เข้าแจ้งความเอาผิดโดยไม่ขอเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้นตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ในเพจเฟซบุ๊ก Angkhana Neelapaijit ซึ่งเป็นของ นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “….ไม่เห็นด้วยที่คุณศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นเรื่องกับตำรวจเพื่อตรวจสอบคุณโน้ส อุดม กรณีพูดล้อเลียน หรือพาดพิงรัฐบาล ในทอล์กโชว์ “เดี่ยว 13” เพราะถือเป็น #การคุกคามทางกฎหมาย ต่อผู้เห็นต่าง ขณะที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ใช้ความรุนแรงต่อคุณศรีสุวรรณ

รัฐธรรมนูญ 2560 และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกอย่างสันติของประชาชน ดังนั้นการกระทำใด หากรัฐธรรมนูญไม่บัญญัติห้าม ประชาชนย่อมมีเสรีภาพที่จะกระทำได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะ ประชาชนย่อมมีเสรีภาพในแสดงความคิดเห็น หรือต่อต้านโดยสงบหากเห็นว่ารัฐบาลบริหารงานผิดพลาดจนอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน การแสดงความคิดเห็นของคุณโน้ส ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นของศิลปิน หรือเป็นการใช้ศิลปะในการแสดงความคิดเห็นโดยสันติและเปิดเผย

การฟ้องร้อง หรือการแจ้งความในลักษณะนี้ จึงอาจถือเป็นการ #ดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (Strategic Lawsuit to Anti Public Participation – #SLAPP) หรือฟ้องปิดปาก หรือฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งผู้เห็นต่างทางการเมือง ทำให้หวาดกลัว และไม่กล้าแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกอย่างสันติ รัฐบาลจึงควรมีท่าทีที่ชัดเจนในการคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน ไม่ควรปล่อยให้มีการใช้กฎหมายเพื่อคุกคามผู้เห็นต่าง ซึ่งถือเป็นการปิดกั้นความคิดเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ

อย่างไรก็ดีผู้ที่เห็นต่างจากคุณศรีสุวรรณ ก็ควรเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกของคุณศรีสุวรรณ ไม่ควรใช้ความรุนแรงใด ๆ แต่ควรเรียกร้องรัฐบาล โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนให้เคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกอย่างสันติของประชาชน และในฐานะที่ประเทศไทยได้สมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ (HRC) ปี 2025- 2027 ประเทศไทยจึงต้องแสดงความจริงใจในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี #รัฐบาล และหน่วยงานของรัฐ #ควรเปิดใจกว้างเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกอย่างสันติของประชาชน ไม่ปล่อยให้มีการฟ้องร้อง หรือดำเนินคดีที่เป็นลักษณะการฟ้องเพื่อปิดปากประชาชนตามอำเภอใจอีกต่อไป

ข้อมูลเพิ่มเติม: ในการประชุมสภาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ (UN Human Rights Council) ครั้งที่ 129 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (Human Rights Committee) แห่งสหประชาชาติ ได้ตีความ #สิทธิของการชุมนุมโดยสงบ ตามความเห็นทั่วไปที่ 37 (General Comment No. 37) ขององค์การสหประชาชาติ มีต่อมาตรา 21 ของ กติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) เกี่ยวกับ #สิทธิขั้นพื้นฐานของการชุมนุมโดยสงบ หมายความว่า

“…การเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบเพื่อแสดงตัวตนว่าคิดอะไร หรือเพื่อบอกเล่าความขัดข้องไม่พอใจ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนทุกคน สิทธิของการชุมนุมโดยสงบนี้ เมื่อรวมเข้ากับสิทธิอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพทางการเมือง จะประกอบกันเป็นรากฐานของสังคมที่เป็นประชาธิปไตย บุคคลทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนต่างชาติ ผู้หญิง แรงงานอพยพ ไปจนถึงคนที่กำลังแสวงหาที่ลี้ภัย และเป็นผู้ลี้ภัยเต็มตัวแล้ว สามารถใช้สิทธิของการชุมนุมโดยสงบได้ ซึ่งอาจทำได้หลายรูปแบบ ทั้งในสถานที่สาธารณะ สถานที่ส่วนตัว นอกอาคาร ในอาคาร และออนไลน์…” คณะกรรมการยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “…รัฐบาลของรัฐภาคีมีพันธะผูกพันในเชิงบวกตามกติกาสัญญานี้ในการเอื้ออำนวยให้มีการชุมนุมโดยสงบ…” (https://www.ohchr.org/…/call-comment-no-37-article-21…)