เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 พ.ย. ที่ กระทรวงยุติธรรม นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการสันติบาล เดินทางมายื่นหนังสือเรื่องร้องเรียนต่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภายหลังจากช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสันธนะ ได้เดินทางไปให้ถ้อยคำคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานจเรตำรวจ จากกรณีที่เคยร้องเรียน 3 นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มูลเหตุเรียกรับผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับอิทธิพลที่ผิดกฎหมาย จำนวนเงิน 300 ล้านบาท 

นายสันธนะ กล่าวว่า ใครจะพูดอย่างไร หรือ นายชูวิทย์จะพูดถึงตนยังไงก็แล้วแต่ ตนเจอเขามานับครั้งไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม คนเราอาจเลอะเลือนได้ สิ่งที่เขาพูดแต่ละเรื่องนั้น คนเราถึงขั้นจำไม่ได้เลยหรือว่าไม่เคยเจอกันมาก่อน อย่างตอนปี พ.ศ. 2557 ที่หอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ตนมีโอกาสได้เจอนายคนนี้จะจะตรงนั้น เนื่องจากตนไปตามคำสั่ง คสช. พอบังเอิญได้เจอจึงถามว่า “คุณหรือเปล่าที่นำชื่อของผมให้ คสช.” ปรากฏว่า เขาไม่ตอบ ไม่เถียง จากนั้นมือสั่น หยิบบุหรี่จุดสูบ ถามหน่อยนี่นะหรือไม่รู้จักกัน ซึ่งครั้งหน้าหากจะมาเจอกัน ขอให้นายชูวิทย์ตอบสังคมให้ได้ก่อนว่า ธุรกิจอาบอบนวด จำนวน 6 แห่ง มีการชำระภาษีให้รัฐหรือไม่ ส่วนคดีนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือ เสี่ยกำพล (อดีตเจ้าของอาบอบนวดวิคตอเรียซีเคร็ท) กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้ดำเนินการสอบปากคำ แต่เหตุใดถึงสอบแค่ช่วงที่นายกำพลเข้าซื้อกิจการ แต่ไม่มีการตรวจสอบย้อนหลังว่า มีการซื้อ-ขาย อย่างไร 

นายสันธนะ กล่าวว่า วันนี้ตนได้นำหลักฐานเอกสารที่เชื่อว่าการโอนย้ายธุรกิจนั้นไม่โปรงใส แม้ว่าจะมีการเปิดเผยว่า จะมีการซื้อขายธุรกิจ แต่ไม่เปิดเผยตัวเลขที่แท้จริง ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ตนได้มาจาก นายโกลัก ที่เคยมีข้อขัดแย้งกับนายชูวิทย์ ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกันกับที่กรมสรรพกรมีเช่นกัน และหากนายชูวิทย์บริสุทธิ์ใจจริง ก็ออกมาตอบคำถามสื่อ ในประเด็นเรื่องภาษีด้วย เพราะตนทราบว่า นายกำพลยังมีชีวิตอยู่ แม้จะหลบหนีคดีอยู่ก็ตาม 

นายสันธนะ กล่าวอีกว่า การทำธุรกิจบริการ ถ้าหากทำธุรกิจโรงแรม เขาไปฝังกล้องหรือทำคลิปวิดีโอที่ตนพูดคุยไว้ตรงไหน ยังไงก็ขอให้เขาร่ำรวย ไม่ใช่เที่ยวออกมาพูดจากระทบกระทั่งคนนั้นคนนี้ ชาตินั้นชาตินี้ และการที่สังคมต้องไปฟังเขา เขามันตลกรายวัน อย่างกรณีนายจ้าวเหว่ย สังคมทราบคำตอบหรือยังว่า นายจ้าวเหว่ยเกี่ยวอะไรกับทั้ง 5 คน ตามที่เขากล่าวอ้าง ซึ่งพอไม่มีมูล ก็เปลี่ยนเป้าเล่นเป็นนายตู้ห่าว แล้วสิ่งที่ป้ายสี เช่น ยาเสพติด มันน่าเกียจมาก ตนเตือนว่า อย่าลืมว่าเขากำลังพิจารณาอยู่ว่า จะดำเนินการกลับแบบไหน เพราะตนทราบว่า เขาฟ้องแน่ ส่วนกรณีของสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอ ตนได้พูดคุยให้แล้วว่า สื่อทำหน้าที่นำเสนอตามหน้าที่ อีกทั้งบุคคล 5 คน ที่เขากล่าวอ้าง ก็ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 

“ส่วนกรณีที่นายตู้ห่าว มีเครื่องบินไพรเวทเจ็ต ตนขอถามว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เขาไม่มีสิทธิมีหรือ แต่ตนก็รู้วิธีการนำเสนอของเขาดี แต่วิธีการดังกล่าว ไม่ใช่ความถนัดของตน ส่วนที่จะไปฟ้องตนในวันที่ 22 พ.ย. ก็ไปฟ้องเลย แล้วทนายความใดก็ไม่ต้องมาพูดให้ตนระวังหนาว ตนไม่คุยด้วย และที่ใครด่าตนว่าชอบรีดไถ ก็ให้หาผู้เสียหายมายืนยัน เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็น ถ้ามีก็มาเลย ตนพร้อมให้หนึ่งล้านบาท” นายสันธนะ ระบุ

ประเด็นที่นายชูวิทย์ จะไปศาลอาญารัชดาเพื่อฟ้องตนในข้อหากลั่นแกล้งนั้น นายสันธนะ กล่าวว่า ไม่กลัว ฟ้องได้เลย และที่เรียกเงิน 100 ล้านบาทในคดีแพ่งนั้น ตนบอกว่าเรียกมาเลย 1 พันล้านบาท ถ้าคิดว่าตนผิดจริง แต่หากไม่พบมูลความผิด จะฟ้องกลับแน่นอน 

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า นายสันธนะได้มีการเปิดกระเป๋าสีดำ 3 ใบ ซึ่งมีทั้งกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ด้วย และมีเอกสารอยู่ภายในให้สื่อดู โดยในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ มีเอกสารและมีเงินสด จำนวน 6 แสนบาท วางไว้ด้านใน 

ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามว่า เงินจำนวนดังกล่าวนั้นเป็นหลักฐานหรือไม่ นายสันธนะ ตอบว่า ไม่ใช่ แต่เป็นเงินส่วนตัวที่พกติดตัวมาตลอด เผื่อว่าตนเองและลูกน้องจะถูกดำเนินคดีฉุกเฉิน จะได้มีเงินไว้ประกันตัว ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าว เพียงพอต่อคดีที่ตนเองถูกกล่าวหาอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งในขณะนั้น ตนไม่ได้ไปรายงานตัว จึงอยากมาถามกระทรวงยุติธรรมว่า ตอนนี้ยังมารายงานตัวได้อยู่หรือไม่

นายสันธนะ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนอีกประเด็นที่ต้องการให้กระทรวงยุติธรรมตรวจสอบถึง 3 เฒ่านักกู้ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาหลอกตนเองในขณะนั้นว่า จะไปกู้ชาติ แต่สุดท้ายกลับไปกู้เงิน ทำให้ตนตกเป็นจำเลย ในคดีปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2551 ซึ่งตอนนั้นตนได้นำเงินจำนวน 600,000 บาท ที่เป็นเงินส่วนตัว ไปยื่นประกันตัวเอง และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน จึงอยากให้ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม ยื่นคำร้องเรื่องขอคืนเงินหลักประกันจำนวนดังกล่าว

ต่อมาเวลา 15.30 น. นายสันธนะ ออกมาเปิดเผยภายหลังเข้าพบ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม ว่า เรื่องการรายงานตัวในคดีปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมินั้น ทางกระทรวงยุติธรรมบอกว่า ตนยังสามารถรายงานตัวได้ต่อ แต่ต้องมาตามกำหนดนัดหมาย ทั้งนี้ ตนยังมีข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการยาเสพติดรายใหญ่และเกี่ยวข้องกับข้าราชการหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเรียบรับผลประโยชน์ที่ตนรวบรวมเอาไว้ และเคยไปส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงาน แต่กลับไม่มีความคืบหน้า ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย.) เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม ได้นัดหมายให้ตนนำข้อมูลดังกล่าวมามอบและพูดคุยเป็นการส่วนตัว

นายสันธนะ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับพรุ่งนี้ที่นายชูวิทย์ จะไปยื่นฟ้องตน ตนพร้อมเดินทางไปรับคำฟ้องที่ศาลอาญารัชดาด้วยตัวเอง จะได้ไปรับกับมือ เพื่อจะได้ทราบคำฟ้องของเขา ซึ่งจะพยายามไปให้ทัน ถ้าหากเขารู้ว่าตนจะไป ก็กินกาแฟรอก่อนก็ได้.