กรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ออกมาเปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้รับคดีตู้ห่าวเป็นคดีพิเศษที่ 314/2565 ฐานความผิดฟอกเงิน ตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นคดีการฟอกเงินยาเสพติดมูลค่าสูง กระทบวงกว้าง โดยในกรอบระยะเวลา 2 สัปดาห์นับตั้งแต่รับเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอจะมีการออกหมายเรียกบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อสอบปากคำในฐานะพยานก่อนรวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาแจ้งข้อหาฟอกเงินภายใน 30 วัน ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

‘สมศักดิ์’เผยยึดทรัพย์ ‘ตู้ห่าว’แล้ว3พันล้าน โยนตร.เอาผิดข้อหาฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการของดีเอสไอกับผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ว่า วันนี้ดีเอสไอได้มีการออกหมายเรียกนิติบุคคลแล้วเรียบร้อย 21 บริษัท (บุคคล 10 กว่าคน) เพราะพบว่า มีความเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว โดยพบว่ าบริษัททั้ง 21 แห่งนี้ปรากฏรายชื่อนายตู้ห่าว เป็นกรรมการบริษัท เนื่องด้วยคณะพาลีปราบยาได้ดำเนินการเข้ายึดอายัดทรัพย์สิน อย่าง โรงแรมดีวาลักซ์ รีสอร์ทแอนด์สปา จึงได้มีการขยายผลพบนิติบุคคลดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในนี้ก็มี “นาง พ.พาน” บุคคลใกล้ชิดนายตู้ห่าว ต้องเดินทางเข้าให้การกับพนักงานสอบสวนด้วย ส่วนประเด็นที่เจ้าหน้าที่จะใช้ในการสอบถามนั้น อาทิ ที่มาของรายการทรัพย์สินที่ครอบครอง ชี้แจงเส้นทางการเงิน ประวัติการทำธุรกิจ บริษัทที่ก่อตั้งมีบุคคลใดเป็นพนักงานและทำหน้าที่อะไรบ้าง เป็นต้น เพื่อขยายผลต่อไป ส่วนวันที่และเวลาแน่นอนที่ทั้งหมดจะต้องเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ยังอยู่ระหว่างให้ทั้งหมดประสานนัดหมายกลับมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต เผยอีกว่า สำหรับข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทางดีเอสไอจะต้องประมวลเรื่องส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาด้วย โดยเราจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนในเรื่องนี้ หากพบว่าเข้าองค์ประกอบการเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ทางอัยการสูงสุดจะเป็นผู้สั่งคดีหรือเป็นพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดี ก็สามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอมาดำเนินการสอบสวนแทนได้ โดยมีอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดี กำกับดูแลสำนวน แต่ถ้าหากไม่เข้าองค์ประกอบอาชญากรรมข้ามชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการต่อไปดังเดิม ส่วนทางด้านดีเอสไอจะสืบสวนสอบสวนในส่วนของการฟอกเงิน การตั้งนอมินี การถือหุ้นต่างๆ

ทั้งนี้ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต เผยต่อว่า เมื่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วและพบความผิดฐานฟอกเงิน พนักงานสอบสวนจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหากับนิติบุคคลทั้งหมดที่ได้มีการเรียกมาสอบปากคำ อย่างไรก็ตาม ใน 21 บริษัทนี้เป็นเพียงลอตแรก คาดว่าจะมีลอตถัดไปหากมีการขยายผลสืบทราบเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ก็จะออกหมายเรียกมาสอบปากคำต่อไป.