เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Prinya Thaewanarumitkul ระบุว่า 

ทำไมเรือหลวงสุโขทัยจึงอับปาง ก็เรื่องหนึ่ง

แต่เรื่องที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าคือ ทำไมลูกเรือ 30 คน #ไม่มีเสื้อชูชีพ?

ท่านผู้บัญชาการทหารเรือแถลงว่า คนที่ไม่มีเสื้อชูชีพ 30 คนได้รับความช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือจำนวน 18 คนแล้ว มี 12 คน ที่ยังอยู่ในทะเล และก็มี 18 คน ที่มีเสื้อชูชีพที่ยังอยู่ในทะเล ดังนั้น “อย่ามองว่าคนไม่มีเสื้อชูชีพจะเสียชีวิตทั้งหมด” และ “การมีเสื้อชูชีพไม่ได้หมายความว่าจะรอดชีวิต” ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการอธิบายที่มีปัญหามาก

เพราะเท่ากับบอกว่า มีเสื้อชูชีพหรือไม่มีเสื้อชูชีพก็ไม่ต่างกัน และดังนั้นการที่เสื้อชูชีพไม่พอจึงไม่ใช่ปัญหา พูดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่า การไม่ใส่หมวกกันน็อกไม่ได้แปลว่าจะตายทั้งหมด และคนใส่หมวกกันน็อกที่ตายก็มี และดังนั้นใส่หมวกกันน็อกหรือไม่จึงไม่สำคัญ ซึ่งเป็นตรรกะที่ผิดและอันตรายมาก

คนไม่ใส่เสื้อชูชีพจะเสียชีวิตเพราะจมน้ำ ต่อให้ว่ายน้ำแข็งโดยเฉลี่ยก็อยู่ได้สัก 10 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าใส่เสื้อชูชีพจะไม่เสียชีวิตเพราะจมน้ำ แต่เสียชีวิตเพราะอยู่ในน้ำนานเกินไป ซึ่งคำถามก็คือ #ทำไมช่วยขึ้นมาได้ช้า ทำไมกองทัพเรือประเทศอื่นอาสาช่วยแล้วทำไมเราจึงไม่รับความช่วยเหลือ นี่ต่างหากคือประเด็น ไม่ใช่บอกว่าถึงใส่เสื้อชูชีพก็ยังช่วยขึ้นเรือไม่ได้ ดังนั้น ใส่เสื้อชูชีพหรือไม่ใส่เสื้อชูชีพจึงไม่ต่างกันเช่นนี้

เอาคนลงเรือเสื้อชูชีพต้องใส่ทุกคนครับ แบบเดียวกับขี่มอเตอร์ไซค์ต้องใส่หมวกกันน็อก ขับรถต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ถ้าเสื้อชูชีพไม่พอจำนวนคน ก็ต้องให้ลงเรือเท่าที่เสื้อชูชีพมีครับ ไม่ใช่ให้คนลงเรือเกินเสื้อชูชีพไปตั้ง 30 คนเช่นนี้ ขนาดผมจัดกิจกรรมพายเรือในแม่น้ำที่ไม่ได้มีคลื่นลมแรงผมยังรู้เลย ทำไมท่าน ผบ.กองทัพเรือไม่รู้ล่ะครับ

ผมเชื่อว่าท่านรู้ ที่ท่านพูดแบบนี้จึงดูเป็น การแก้ตัว มากกว่า การแก้ไข ที่สังคมอยากฟัง นอกจากสาเหตุเรือจม คือกองทัพเรือต้องแถลงว่า จากนี้ไปเหตุการณ์เสื้อชูชีพไม่พอคนจะไม่เกิดขึ้นอีกครับ

ขอให้ผู้ประสบภัยที่ยังอยู่ในทะเลปลอดภัยทุกคน และขอให้กำลังใจทุกท่านที่กำลังทำงานอย่างหนักในการค้นหาและให้ความช่วยเหลือครับ

ขอบคุณเพจ อ.ปริญญา เทวานฤมิตร