เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่โรงแรมเดอะ เดวิส ซอยสุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงภายหลังอัยการส่งฟ้องคดีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานนท์ หรือตู้ห่าว พร้อมกับต่อสายโทรศัพท์ถึงพยานบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 400 ปาก ของคดีตู้ห่าว ที่ถูกโน้มน้าวให้ถอนตัวจากการเป็นพยานในคดี โดยพยานรายดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนได้ไปให้การกับอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ทราบว่าในส่วนของฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไรว่า ตนไปให้การในคดีดังกล่าว จึงได้พยายามโน้มน้าวให้ถอนตัวออกจากการเป็นพยาน แต่ไม่ได้มีการเสนอเป็นตัวเลข

นายชูวิทย์ เชื่อว่า การสืบพยานจะต้องใช้ระยะเวลา นานกว่า 2 ปี ในการสืบพยานกว่า 400 ปาก โดยขณะนี้พบว่ามีขบวนการที่จะทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งคนที่ทำลายพยานหลักฐานเชื่อว่า เป็นคนที่ได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ จึงเรียกร้องให้มีการถอนประกัน ประกอบกับเนื่องจากจะต้องมีการเพิ่มข้อกล่าวหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งปกติการเพิ่มข้อหาจะต้องถูกถอนประกัน

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า การตั้งข้อหาฟอกเงินล่าช้ากับตู้ห่าว จะทำให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไป เพราะที่ผ่านมา ทรัพย์สินของตู้ห่าวที่ตรวจพบประมาณ 8 พันล้านบาท กลับไม่มีเงินสดแม้แต่บาทเดียว มีเพียงเงินในบัญชีแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น

สำหรับพยานที่ถูกโน้มน้าวขณะนี้มี 2 คน คนแรกคือคนที่เห็นการถอนเงินออกจากบัญชี และคนที่ 2 เป็นพยานของโรงแรม ซึ่งตนไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ เนื่องจากขณะนี้พยานทั้ง 2 คน อยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ นอกจากนี้ยังพบพยานอีก 1 คน ถูกข่มขู่จนเกิดความกลัว และขณะนี้ไม่สามารถติดต่อได้

นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า ขบวนการนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง ทำให้คดีบิดเบี้ยวหรือล่าช้า เนื่องจากแต่ละขั้นตอนใช้ระยะเวลานาน ทำให้พยานหรือหลักฐานเสียหายหรือเปลี่ยนแปลง เพราะจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลและมีเงิน จึงทำให้มีโอกาสในการต่อสู้และโน้มน้าวพยาน โดยการโน้มน้าวพยานจะถูกเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบของเงิน เพื่อไม่ให้ไปให้การต่อศาล หากไปให้การก็ให้การปฏิเสธว่าไม่รู้และไม่เห็น ส่วนพยานที่ให้การแล้วก็ขอให้การใหม่ หรือสุดท้ายให้พยานหายตัวไป ไม่ต้องไปให้การต่อศาล

ส่วนประเด็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ร่วมขบวนการตบทรัพย์ทุนจีนสีเทา ขณะเข้าตรวจค้นอดีตบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทย ย่านสาทร ต้นเรื่องนี้เกิดจากเจ้าหน้าที่ DSI ไม่ใช่ตำรวจ 191 เนื่องจาก DSI ยังไม่สามารถตั้งเลขคดีได้ เพราะการตั้งเลขคดีจะต้องผ่านคณะกรรมการและต้องให้อธิบดีรับรอง แต่กรณีนี้เจ้าหน้าที่เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงได้ประสานกองบัญชาการตำรวจนครบาลออกหมายจับและเข้าไปตรวจค้นร่วมกัน และจากข้อมูลที่มีอยู่ส่วนตัวมองว่าอธิบดี DSI ไม่รู้เรื่องในประเด็นการเรียกรับผลประโยชน์ และเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีชื่อย่อตัว “ท.” ซึ่งอยู่ในระดับผู้บริหารของ DSI ส่วนประเด็นที่เงินของกลางที่หายไป 9.5 ล้าน ประเด็นนี้ ตนไม่รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน.