เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางแหม่ม (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี เข้าร้อง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอความเป็นธรรม หลังลูกชายออทิสติกถูกทำร้ายร่างกายโดยนางแหม่ม กล่าวว่า ปัจจุบันตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ช่วงเดือน ก.ค. 65 กลับมาเยี่ยมบ้านที่ จ.อุบลราชธานี นายเม่น (สงวนชื่อนามสกุลจริง) อายุ 29 ปี ลูกชายที่ป่วยออทิสติกอาศัยอยู่กับยายและหลาน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูกเพราะคิดเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด จากนั้นได้ติดต่อหาโรงเรียนสำหรับคนเป็นออทิสติก แต่ครูแนะนำว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้ามาเรียนกับเด็กๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงแนะนำสถานที่รับดูแลคนออทิสติกแห่งหนึ่ง ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี จึงติดต่อพาไป

นางแหม่ม เผยอีกว่า เมื่อเดินทางไปสถานที่ดังกล่าวพบเป็นบ้าน 2 ชั้น มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ดูแลเด็กออทิสติกที่มีทั้งอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งครูที่เป็นเจ้าของสถานที่แจ้งค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000-35,000 บาท ในการอยู่ประจำ และบอกว่าจะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง จึงตกลงฝากลูกไว้โดยพาไปส่งวันที่ 18 ก.ค. 65 พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และยาประจำตัวที่หมอให้กินทุกวัน จากนั้นเดินทางกลับประเทศเยอรมนี ช่วง 2 เดือนแรก ครูส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป ทานอาหาร ไปทานเคเอฟซี มาให้ดูว่าลูกมีความสุข และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ได้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปพบหมอ บอกว่าลูกชายเป็นปกติไม่ต้องกินยา

กระทั่งเดือน พ.ย. 65 สังเกตเห็นในรูปลูกชายซูบผอม มีร่อยรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน ครูก็อ้างว่าลูกเดินชนก๊อกน้ำ ทีแรกก็ไม่คิดอะไร แต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวไม่หาย จนวันที่ 30 พ.ย. 65 จึงให้น้องสาวที่บินจากมาจากเยอรมนีกลับไทยมาเยี่ยมหลาน เมื่อมาถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ครูอ้างว่าให้เข้าพบเด็กไม่ได้เพราะต้องระวังเรื่องโควิด ทั้งที่น้องสาวก็ตรวจเอทีเคและนำผลตรวจมาแสดงแล้ว ทางครูก็ไม่ยอม จึงทำได้เพียงแค่คุยผ่านวิดีโอคอล ซึ่งน้าก็สงสารมาก เพราะเห็นสภาพซูบผอมและร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างคุยวิดีโอคอล

เมื่อน้องสาวมาเล่าให้ตนฟัง จึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับไทยในวันที่ 23 ธ.ค. 65 และแชตคุยบอกครูว่า จะไปรับทันทีที่มาถึงเพื่อกลับบ้าน จ.อุบลราชธานี ไปเที่ยวช่วงปีใหม่ แต่ครูก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าครูมีโปรแกรมจะพาเด็กๆ ไปเที่ยว แต่รู้สึกผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้านก็พบว่าทุกคนยังอยู่ในบ้าน ไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นจึงได้แจ้งครูขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับที่ จ.อุบลราชธานี ทันที ซึ่งพอตนกลับถึงไทยได้พบลูกชายในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้าย ที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนมีอาการหวาดผวา ต้องใช้เวลาหลายวันลูกถึงบอกว่าถูกครู 3 คนทำร้าย โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกพื้น ครูชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใช้สากกะเบือตีมือจนมือบวมปวดมาก และอีกวันครูชายคนที่ 2 หาว่าลูกชายไปหยิบขนมเพื่อนกิน จึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่

นางแหม่ม เล่าอีกว่า จนมาวันที่ 28 ธ.ค. 65 ได้พาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี แพทย์พบว่าเด็กมีอาการก้าวร้าว หวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลถึงวันที่ 18 ม.ค. รวม 21 วัน เพราะต้องดูอาการและปรับยา เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน ตนเสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ลูกอยู่อย่างทนทุกข์ถูกทำร้าย นอกจากนี้ลูกยังบอกว่า เวลาอยู่ที่บ้านครูส่วนใหญ่ก็จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงรสบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น จึงได้พาไปแจ้งความไว้แล้ว และอยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ ครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่ จึงดินทางมาขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือด้านคดี

หลังรับเรื่องแล้วเวลา 14.30 น. วันนี้ (17 ก.พ.) นางปวีณา พาแม่หนุ่มออทิสติกเข้าพบและประชุมร่วมกับ พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.จักริน พันธ์ทอง รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก.สภ.บางบัวทอง และน.ส.บุณยวีร์ ลุมาดกมลพันธ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี เพื่อเร่งติดตามคดีที่ได้แจ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. 66 และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบว่า สถานที่ที่เปิดบ้านดูแลคนออทิสติกแห่งนี้มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ และเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีพิจารณาความถูกต้องและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจสอบดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดโดยเร็ว เนื่องจากปัจจุบันในประเทศไทยได้มีการเปิดเนอร์สเซอรี่ สถานรับเลี้ยงเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลคนพิการจำนวนมาก จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบเร่งด่วน