เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน ศาลนัดสอบข้อเท็จจริงโจทก์คดีหมายเลขดำ อท.23/2566 ที่ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รวมทั้ง ชุดจับกุมและนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กับพวก รวม 7 คน เป็นจำเลย ต่อ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ ,ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ บุกรุก ซ่องโจร ผิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

จากกรณี จำเลยทั้งหมด มีการวางแผนล่อลวงให้รับเงิน และยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบันทึกวิดีโอให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางสอบโจทก์แล้วเห็น ว่า กรณีโจทก์ยังบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนสําหรับความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 164, 179, 200, 210, 310, 364 และ 365 เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเพื่อให้ได้รับความชัดแจ้งในข้อเท็จจริงแห่งคดี ให้โจทก์แถลง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ทั้งก่อนและหลังจากที่โจทก์ถูกจับกุมว่า โจทก์รู้จักกับจำเลยทั้งเจ็ดมาก่อนเกิดเหตุหรือไม่ มีสาเหตุโกรธเคืองกัน หรือไม่ และโจทก์รู้จักเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์จับกุมตามรายชื่อในบันทึกการจับกุมหรือไม่ มีสาเหตุโกรธเคืองกันหรือไม่

พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุ ได้แก่ บุคคลที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมโจทก์ และโจทก์ชี้แจงข้อเท็จจริงในขณะถูกจับกุมหรือไม่อย่างไร พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากวันเกิดเหตุ คือ โจทก์ดำเนินการอย่างไรบ้าง หลังจากถูก จับกุมแล้ว

หลังถูกจับกุม โจทก์ถูกดำเนินการทางวินัยหรือไม่ แล้วจำเลยทั้งเจ็ดมีพฤติการณ์ใดที่ทำให้โจทก์คิดว่าการดำเนินการให้โจทก์ถูกจับกุมนั้น เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาวันที่ 30 มี.ค. เวลา 09.30 น.

ต่อมาเมื่อเวลา 11.21 น. นายรัชฎา พร้อมด้วยทนายความ ลงมาจากห้องพิจารณาคดีของศาล แล้วได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ที่รอทำข่าวอยู่ กล่าวว่า วันนี้ศาลถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของการยื่นฟ้อง เช่นความสัมพันธ์เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ทั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางนายชัยวัฒน์ และรายละเอียดเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุระหว่างเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ

สำหรับตนและนายชัยวัฒน์ รู้จักกันมากว่า 10 กว่าปี สมัยที่นายชัยวัฒน์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งหนึ่ง สำหรับเรื่องความขัดแย้งไม่มี มีเพียงการที่ตนตั้งคณะกรรมการสอบการละเมิดของนายชัยวัฒน์ เรื่องการทุจริตปลูกป่า การละเมิดที่เกิดตนและกรมเป็นผู้เสียหายเป็นผู้ฟ้อง มีการสั่งตั้งกรรมการสอบนายชัยวัฒน์ ซึ่งในเรื่องนี้ ตนก็ถูกร้องเรียนว่าตั้งกรรมการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในข้อเท็จจริงคดีใกล้จะหมดอายุความครบ 10 ปี ในวันที่ 29 มี.ค. 2566 ถ้าถึงวันนั้นคดีนี้จะไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งถ้าผลสรุปเป็นเช่นนั้น ถ้าตนไม่ตั้งคณะกรรมการสอบตนก็จะถูกตั้งข้อหาอาญามาตรา 157 เวลาเว้นการปฏิบัติหน้าที่และต้องชดใช้แทนนายชัยวัฒน์

ที่ผ่านมาเรื่องทางวินัยของนายชัยวัฒน์ทางกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มีการเรียกสอบมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี ทางกรรมการข้อเท็จจริงมีการชี้มูลว่าผิดวินัยร้ายแรง ส่วนเรื่องทางอาญากรรมการสอบกรณีละเมิดได้เสนอว่าให้กรมอุทยานฯ แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายชัยวัฒน์ แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไร

กรณีเงินที่พบในที่เกิดเหตุ นายรัชฎา กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่พบเป็นเงินส่วนตัว บรรยากาศวันนั้น อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในห้องขอตรวจ ตนเองจึงเรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติการเข้ามา เพราะในเรื่องกฎหมายตนไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่วนตัวยังไม่ได้ตรวจดูซองเงินที่มีการระบุชื่อไว้ที่ด้านหน้าเพราะตั้งแต่เช้ามีกิจกรรมทำบุญ แต่สำหรับซองพวกดังกล่าวตนยอมรับว่ามีผู้นำเข้ามาให้ เพื่อเช่าพระพุทธรูปและมีมาร่วมทำบุญโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีการดำเนินการมาหลายปี ในโครงการนี้ภาคเอกชน ร่วมบริจาคมาแล้วกว่า 6 ล้านบาท เงินส่วนนี้เป็นการขอระดมให้ทุกคนสนับสนุน เพราะตามหลักโครงการนี้ มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30 ล้านบาท โครงการนี้คือค่าเลี้ยงดู ค่าอาหารของสัตว์ที่เป็นของกลางที่ทางเจ้าหน้าที่ตรวจยึดมาได้

ในส่วนของการรับเงิน นายรัชฎา กล่าวยืนยันว่า เป็นเรื่องปกติของข้าราชการที่จะต้องผ่านผู้บังคับบัญชาเป็นคนดูแล ไม่มีในส่วนของค่าน้ำร้อนหรือค่าน้ำชา ส่วนที่นายชัยวัฒน์โต้แย้งว่าการสร้างพระพุทธรูปหรือเช่าพระพุทธรูปเสร็จสิ้นไปนานแล้ว ตนขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ยังมีพระที่ยังไม่ได้เช่าอีกร้อยกว่าองค์

“ทั้งนี้การที่เดินทางมายื่นฟ้องเป็นการเรียกความยุติธรรมให้กับตัวเอง เรื่องนี้ต้องขอคืนภาพลักษณ์ เพราะสิ่งที่เกิดเป็นการใส่ความ เรื่องที่นายชัยวัฒน์นำไปแจ้งความ อยากถามกลับว่า ตำรวจได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าเป็นเงินส่วนใด” นายรัชฎา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ได้ดูคลิปเสียง วันที่มีการบุกจับกุม ที่ถูกลบออกไปในระหว่างคลิปเสียงนั้น ตนได้ปฏิเสธตลอดว่าไม่มี ไม่เอา ให้เอาไปไม่ต้อง ในวันนั้นตนดูใบแจ้งความและคิดเสมอว่า มันเป็นไปไม่ได้ ในระหว่างนี้ตนยังไม่ได้ไปชี้แจงกับ ป.ป.ช. เนื่องจากยังไม่มีการเรียกตัว แต่ก็พร้อมที่จะไป ขอยืนยันว่าทางตนไม่เคยมีการห้ามเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปให้การกับตำรวจ แต่มีข้อมูลว่าฝ่ายของคนที่อยู่ จ.อุบลราชธานี มีการข่มขู่และสั่งเจ้าหน้าที่คนอื่นให้การตามที่ต้องการ

ด้าน นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความ กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้นายรัชฎาไม่มีการออกมาเคลื่อนไหว แต่ก็ดำเนินการมาโดยตลอด แต่กระบวนการเหล่านี้ก็ไม่สามารถเอามาเปิดเผยได้ ขอให้ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม และทุกข้อหา ทางนายรัชฎามีหลักฐานโต้แย้งกลับทั้งหมด โดยเฉพาะอยากให้ไปดูคลิปเสียงขณะที่มีการพูดคุยระหว่างนายรัชฎา และผู้ถือซองเงินก่อนการจับกุมว่า มีการพูดคุยอะไรกัน จะเป็นหลักฐานที่ตอบสังคมได้ดีที่สุด ว่าเป็นการเรียกรับ หรือไม่เรียกรับ หรือเป็นการเสนอให้ แล้วท่านปฏิเสธทั้งหมด