ในส่วนของ พรรคก้าวไกล ก็เช่นกัน หลังทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาต่อเนื่องจากพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบไป วันนี้ “เดลินิวส์” จึงถือโอกาสพูดคุยกับ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงยุทธศาสตร์ในการนำพรรคพลิกขั้วเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาล เพื่อสานต่อภารกิจพรรคอนาคตใหม่อย่างไร

@ วันนี้ก้าวไกลมีความหวังกับการมี ส.ส.เขตเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน

เรามีอยู่ 30 เขต ที่เป็นเขตเก่าที่พรรคอนาคตใหม่ ได้รับความไว้วางใจ รักษาเขตเดิมคืออันนี้ เพิ่มเติมเขตใหม่คืออีกจำนวนมากที่แพ้แค่ 3,000 คะแนน คือแพ้ไม่เกิน 5% มีเยอะมาก หลายเขตได้มาเป็นที่ 2 กว่า 2 หมื่นคะแนน ขอให้เรารักษาโมเมนตัมตั้งแต่ปี 62 มาถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมาให้ได้ ทั้งหมดผมคิดว่ามันมี 100 กว่าเขต รวม กทม. อีก 33 เขต ในใจผมมี 140 กว่าเขตที่เป็นมะม่วงใต้ต้น เป็นเขตที่แพ้แค่ 5% หรือเป็นเขตที่มีอย่างน้อย 2 หมื่นกว่าคะแนน เฉลี่ยทุกๆ เขต เรามีคะแนนก้นถังได้อยู่แล้วเกือบ 2 หมื่นคะแนน แต่บางพื้นที่ถ้าเป็นภาคเหนือก็อาจจะ 3-4 หมื่นคะแนน ภาคใต้อาจสักประมาณ 1 หมื่นคะแนน คราวนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าที่ผู้สมัคร และแกนนำพรรคที่จะหาคะแนนให้เพิ่ม มันพิสูจน์ได้ว่า ส.ส.ก้าวไกล พื้นที่ก็ดีสภาก็เด่นได้

“ผมคิดว่า ส.ส.เขต เรามีเซอร์ไพร้ส์แน่นอน ส่วนคาดหวังอย่างไร สมัยพรรคอนาคตใหม่เราได้มา 50 บวก 31 ครั้งนี้ อาจเป็น 31 และ 50 บวก อาจจะกลับกันก็ได้ ในส่วน ส.ส.เขต เราทำงานอย่างมียุทธศาสตร์และลงพื้นที่กันอย่างเต็มที่ ไม่ได้มีหัวหน้าพรรคอย่างเดียว ยังมีผู้ช่วยหาเสียงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กกต. คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า และ ส.ส. ของพรรคอีกหลายคน ผมคิดว่าเวลาที่เหลืออีก 60 วัน จะทำให้คะแนนของพรรคเพิ่มขึ้นมาได้”

@การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคแทนนายธนาธร และนายปิยบุตร มีความกดดันหรือไม่

ไม่กดดัน ผมคิดว่ามันไม่มีใครแทนใครได้ การทำงานทำพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองมันไม่ใช่เรื่องของซูเปอร์แมน การเลือกตั้งสมัยนี้มันต้องคิดกันเป็นระบบและมีการทำงานอย่างเต็มที่ สำหรับคุณธนาธรเขาอยู่ข้างผม เขาเป็นเพื่อนผม เขาจะเป็นคนหาเสียงให้ผม เพราะฉะนั้น รักธนาธรเลือกพิธา หรือรักพิธาก็เลือกพิธา อันนั้นเป็นวิธีคิด สิ่งเดียวที่จะเปรียบเทียบและเป็นประโยชน์ คือผมเปรียบเทียบกับตัวเองทุกวัน และสักวันหนึ่งถ้าผมไม่อยู่ก็จะมีคนอื่นขึ้นมาแทนที่ผมเช่นเดียวกัน

การเปรียบเทียบได้ดีที่สุด ก็คือการเปรียบเทียบวิธีการทำงานของตัวเอง และทำให้มันดีขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เปรียบเทียบอันที่สองก็คือ เปรียบเทียบกับกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ เปรียบเทียบกันด้วยนโยบาย ความสามารถ และคุณลักษณะที่มันเหมาะสมกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มากที่สุด มันต้องการความทันสมัย มันต้องการความเป็นสากล มันต้องการนโยบายที่เป็นชุดคำตอบ สำหรับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม สังคมสูงวัย เป็นต้น ซึ่งผมคิดว่าบุคลากรของพรรคก้าวไกล ไม่แพ้ใครในเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่ความท้าทายในเรื่องความมั่นคงเหมือน 40-50 ปีที่แล้ว

@หลายพรรคพูดถึงการก้าวข้ามความขัดแย้งคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

หลักการที่จะมีความปรองดองได้ อันที่หนึ่งก็คือวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลต้องไม่มี มีการเสาะหาข้อเท็จจริง มีความยุติธรรมโปร่งใสเกิดขึ้น มีความรับผิดรับชอบแล้วค่อยมาสมานฉันท์ ทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นแอฟริกาใต้ รวันดา หลักการในการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองต้องมีสิ่งเหล่านี้ มีแต่ประเทศเราที่มันกลับหัวกลับหางกัน

“ผมจึงคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนจากพฤษภาทมิฬจนมาถึงพฤษภา 53 ให้พฤษภาในการเลือกตั้งปีนี้ เปลี่ยนจากพฤษภาอำมหิต เป็นพฤษภาแห่งอนาคต ให้พฤษภาเลือดเป็นพฤษภาที่เต็มไปด้วยอนาคตจริงๆ ถ้าเราเข้าใจว่า คนเห็นต่างต้องไม่ติดคุก มีการแก้กฎหมาย มีการนิรโทษกรรมย้อนหลังไปถึงปี 57 โดยที่หากใครไม่ต้องการนิรโทษกรรมก็บอกได้ว่าไม่ต้องการ รวมถึงการเอาประเทศไทยเข้าสู่เขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ทำให้การทำอาชญากรรมต่อพี่น้องประชาชนในประเทศไทย เป็นสิ่งที่สากลโลกต้องรับรู้ด้วย”

@ฐานเสียงของพรรคก้าวไกลปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ก้าวไกลถูกครหาว่าเป็นพรรคหลอกเด็ก คิดเห็นอย่างไร

เด็กสมัยนี้หลอกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นค่านิยม 12 ประการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พูดอยู่คนเดียวมา 5-6 ปี ก็ใช้ได้ไปแล้ว ส่วนที่บอกว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ก็ถูกครึ่งไม่ถูก ไอ้เรื่องความคิดที่บอกว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ไฟแรง คลื่นลูกใหม่ เราต้องยึดหัวหาดตรงนี้ให้ได้ โดยที่ไม่ประมาทและไม่ดูถูกเขาว่าเขาเป็นของใคร แต่ในขณะเดียวกันคนที่สู้มาก่อนผม เป็นผู้สูงอายุแล้วไม่สนใจพรรคก้าวไกลผมว่ามันก็ไม่ถูก มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะไม่ว่าจะเป็น 3 จ.ชายแดนภาคใต้ หรือ 3 จ.ชายแดนภาคเหนือ ก็เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของผมทั้งนั้น เรื่องนี้จึงไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับเจนและอดีตว่าเคยเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษนิยมเท่าไร ไม่ใช่แค่ซ้ายขวา หรือรุ่นใดรุ่นหนึ่งเท่านั้น

“ผมคิดว่าเราพร้อมแล้วที่จะเป็นพรรคการเมืองที่จะรักษาหัวหาดเดิมของคนรุ่นใหม่ แต่สามารถที่จะกระจายออกเพิ่มเติมไปสู่คนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นรัฐสวัสดิการตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเราสามารถที่จะรักษาเขตเดิมในพื้นที่เมือง แต่สามารถที่จะขยายไปสู่เขตชนบทได้ เพราะเรารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ”

 @ก้าวไกลกับเพื่อไทยมีฐานเสียงที่ทับซ้อนกัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยประกาศแลนด์สไลด์เพื่อให้มีพลังในการตั้งรัฐบาล ดังนั้นมีเหตุผลอะไรที่ต้องเลือกก้าวไกล

เราต้องเคารพจุดยืนของแต่ละพรรคในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่มันต้องหาความร่วมมือในการตั้ง ครม. และรัฐบาล เป็นอย่างนี้ในทุกประเทศ ทุกคนก็มีสิทธิที่จะเสนอจุดยืนหรือยุทธศาสตร์ในการหาเสียงของแต่ละคน จุดยืนของพรรคก้าวไกลในเรื่องนี้ ก็คือพร้อมที่จะแข่งขันและร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย การที่มีการแข่งขันในเรื่องนโยบายและว่าที่ผู้สมัคร เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน แต่ต้องถามประชาชนกลับว่า คุณจะเลือกตั้งด้วยความหวังว่า จะชนะหรือเลือกตั้งด้วยความกลัวว่าจะแพ้

“ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะไปเลือกตั้งด้วยความกลัวว่าจะแพ้ ในขณะเดียวกันฐานเสียงของฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายอนุรักษนิยม หรือฝ่ายเผด็จการ ก็ทับกันและทับกันเยอะกว่าเราด้วย สุดท้ายแล้วเมื่อผลน้ำหนักทางการเมืองมันออกมา มันก็ต้องมาร่วมมือกันในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นการเลือกตั้งในเชิงยุทธศาสตร์ ผมคิดว่าอย่าไปกังวล ถ้าเป็นพี่น้องคนอีสานเขาบอกว่า “มักแล้วเลือกเลยๆ ” ผมยังเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ มันต้องหวังเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงประเทศ เปลี่ยนแปลงขั้วรัฐบาล ไม่ใช่มีการเลือกตั้งเพื่อกลัวว่าจะแพ้ เพราะฝั่งโน้นเขาก็มีความทับซ้อนเหมือนกัน มันจึงเป็นเกมที่มันเสมอกัน”.