เมื่อวันที่ 15 มี.ค. พ.ต.อ.จำรัส ศิริเลี้ยง ผกก.สภ.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีคนถูกไฟไหม้ทุ่งนาและไร่อ้อย และไฟได้คลอกหญิงชรา เสียชีวิตอยู่กลางทุ่งนาบ้านประดู่ ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ จึงนำกำลังออกไปตรวจสอบ พร้อม ประสานหน่วยกู้ภัยสว่างจรรยาธรรม และแพทย์เวรโรงพยาบาลบ้านด่าน ร่วมชันสูตร ที่เกิดเหตุเป็นทุ่งนา ในเขตรอยต่อ ต.วังเหนือ ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน และ ต.หนองใหญ่ อ.สตึก ห่างจากหมู่บ้านประดูประมาณ 5 กม. พบไฟกำลังลามทุ่งนา ไปติดกับไร่อ้อยของชาวบ้าน รถดับเพลิงเทศบาลปราสาท ได้เร่งสกัดไฟเอาไว้ไม่ให้ลามต่อ ห่างจากถนนซอยประมาณ 300 เมตร พบศพ นางทอง โยงรัมย์ 73 ปี บ้านเลขที่ 64 หมู่ 8 บ้านตลาด ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ในสภาพสวมเสื้อชั้นในกับผ้าถุง มีร่องรอยการถูกไฟไหม้ทั่วร่าง นอนตะแคงเสียชีวิต

สอบถามนางเชียร พรมบุตร อายุ 63 ปี เลขที่ 14 หมู่ 8 ต.ปราสาท น้องสาวผู้เสียชีวิต เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตนกับพี่สาวคือผู้ตายและสามีรวม 3 คน จะทำการจุดไฟเผาตอซังข้าว เพื่อให้โล่งเตียน โดยได้วางแผนยืนอยู่คนละจุด แล้วลงมือจุดไฟพร้อมกัน ให้แต่ละคนเฝ้าระวังไม่ให้ลามไปไกล โดยเฉพาะไร่อ้อยที่อยู่ติดกัน ระหว่างที่ไฟกำลังลุกไหม้อยู่นั้น ได้มีลมกระโชกเข้ามาแล้วเปลี่ยนทิศ ทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนมองไม่เห็นกัน จนกระทั่งไฟเริ่มสงบ มาพบว่าพี่สาวได้เสียชีวิตแล้ว ยอมรับว่าตื่นเต้น ไม่เคยเจอมาก่อน

นายเทือง พรมบุตร อายุ 66 ปี น้องเขยผู้เสียชีวิตกล่าวว่า ตนมีหน้าที่อยู่ฝั่งทางไร่อ้อยของชาวบ้าน ป้องกันไม่ให้ไฟลามไป แต่ยอมรับว่า ลมแรงและหมุนไปมา ทำให้เอาไม่อยู่ ช่วงนั้นยอมรับควันไฟคละคลุ้ง มองไม่เห็นอะไร เห็นเพียงพี่ภรรยากำลังวิ่งออกไป เหมือนจะหนี จึงวิ่งลัดป่าอ้อย เพื่อจะหาทางช่วย แต่สุดท้ายไม่ทัน พี่ภรรยาได้เสียชีวิตแล้ว

ด้านนายสัญญา ชาญวิเศษ นายก อบต.วังเหนือ อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า พื้นที่ 3 ตำบลใกล้กัน ชาวบ้านจะทำการเกษตรหลายชนิด มีทั้งมันสำปะหลัง ข้าว และอ้อย ที่ผ่านมาทั้งผู้นำทั้ง 3 ตำบล ได้มีการจับมือรณรงค์ไม่ให้ชาวบ้านจุดไฟเผาตอซังข้าวและอ้อย เพื่อไม่ให้เกิดฝุ่นพิษที่กำลังจะรุนแรงอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ ถึงกับสั่งกำชับ “อ้อยที่ถูกไฟไหม้” จะไม่รับซื้อ หากไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ ทำให้เกษตรกรไม่กล้าเผาอ้อย แต่ครั้งนี้ดูแล้วเจ้าของไร่อ้อยน่าจะสุดวิสัย ยอมรับว่าเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต และเสียดายอ้อยของเกษตรกรที่อยู่ติดกัน ยังไม่รู้ว่าโรงงานน้ำตาลจะรับซื้อหรือไม่ ซึ่งหากโรงงานน้ำตาลปฏิเสธการรับซื้ออ้อยจากไร่นี้ ซึ่งคาดว่าไฟเผาไปประมาณ 3-5 ไร่ ตนอาจจะยื่นมือมารับซื้ออ้อยเอาไว้ แล้วเอาให้ชาวบ้านที่ยากไร้ หีบขายเป็นน้ำตาลสด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนทั้งสองฝ่าย และขอแจ้งเตือนเกษตรกรที่คิดจะเผาตอซังข้าวว่าไม่คุ้มกับเสีย แทนที่จะได้ปุ๋ยจากตอซังข้าว กลับมาสูญชีวิตคนทั้งชีวิต