จากกรณี นางสรารัตน์ หรือ แอม รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 36 ปี เท้าแชร์ใน จ.กาญจนบุรี ผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาลักทรัพย์ ได้กระทำความผิดนำสารเคมีไซยาไนด์มาใช้วางยาจนปรากฏผู้เสียชีวิต และผู้ที่คาดว่าเสียชีวิตจากไซยาไนด์กว่า 13 ราย เนื่องด้วยหวังเอาทรัพย์สินและฆ่าล้างหนี้จากการทำวงแชร์ รวมถึงขณะนี้ เจ้าตัวยังอยู่ระหว่างการฝากขังผัดแรกของพนักงานสอบสวน ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง และยังตั้งครรภ์ 4 เดือนอยู่ด้วยนั้น

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนางสรารัตน์ หรือ แอม รังสิวุฒาภรณ์ วางยาฆ่าชิงทรัพย์ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย เท้าแชร์ อายุ 33 ปี ว่า คดีคืบหน้าไปมาก พยานหลักฐานต่างๆ แน่นหนาพอสมควร เชื่อว่าสามารถเอาผิดผู้ต้องหาได้ ขณะที่การสอบปากคำพยานบุคคลต่างๆ นั้น ในวันนี้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ได้เชิญนายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อในคดีดังกล่าว มาเข้าให้ปากคำบางประเด็นเพิ่มเติมเพื่อประกอบสำนวน ส่วน น.ส.นก พยาบาลโรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านธนบุรี จะเข้าให้ปากคำวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ซึ่ง น.ส.นก ถือเป็นพยานบุคคลสำคัญอีกราย จัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทของนางสรารัตน์ และมักพูดคุยปรึกษาปัญหาเรื่องชีวิตด้วยกัน เช่นเดียวกับ น.ส.จอย พยานที่เคยให้การไปก่อนหน้านี้ จึงเชื่อว่าคำให้การจะเป็นประโยชน์กับรูปคดีนี้ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับวงแชร์และพฤติกรรมส่วนตัวของผู้ต้องหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจับกุมตัว นางสรารัตน์ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดียังคงร่วมกันสืบสวนสอบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาพยานหลักฐานความเชื่อมโยงของแต่ละคดีที่นางสรารัตน์ เข้าไปมีส่วนพัวพันหรือเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตปริศนาของเหยื่อทุกราย และเหยื่อที่ถูกวางยาแต่รอดชีวิตมาได้ ซึ่งถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตรวมแล้วน่าจะมีมากกว่า 14ราย เนื่องจากเส้นทางการเงินของ นางสรารัตน์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีความผิดปกติ เช่น มีบุคคลจำนวนมากโอนเงินเข้ามายังบัญชีธนาคารของนางสรารัตน์ ตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลักแสนบาท และในจำนวนคนที่โอนเงิน18-20 คน ได้เสียชีวิตลงหลังจากนั้นไม่นาน โดยมีทั้งบุคคลที่เคยปรากฏรายชื่อผู้เสียชีวิตตามสื่อต่างๆ และบุคคลยังไม่เคยปรากฏชื่อ หรือข้อมูลใดมาก่อน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ผู้เสียชีวิตรายใหม่ประมาณ 5-7 ราย จะเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาด้วยหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากแนวทางสืบสวนพบว่า หลังจากลงมือฆ่าเหยื่อจนเสียชีวิตแล้ว สิ่งแรกที่ นางสรารัตน์ มักจะลงมือทำคือการทำลายหลักฐานอำพรางคดี ให้ยากต่อการแกะรอย สอดคล้องกับพยานวัตถุ โทรศัพท์มือถือของผู้ตาย ที่ตรวจยึดได้จากนางสรารัตน์ นอกจากนี้ยังพบว่า นางสรารัตน์ มักเลี่ยงที่จะติดต่อสื่อสารกับเหยื่อผ่านสัญญาณโทรศัพท์โดยตรง แต่จะใช้การโทรฯ หรือแชตสนทนาผ่านแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากพยานวัตถุ ประจักษ์พยาน หลักฐานต่างๆ รวมไปถึงพยานแวดล้อมที่บอกเล่าพฤติกรรมผู้ต้องหา มูลเหตุแรงจูงใจต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นนั้น ล้วนสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อรูปคดี ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้สามารถเรียงร้อยเรื่องราวแต่ละคดีเชื่อมโยงถึงกันได้เป็นอย่างดี