สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดี นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ “แอม” ผู้ต้องหาคดีฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาลักทรัพย์ หลังพบสารพิษ หรือ สารไซยาไนด์ในในร่างกายของ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย เพื่อนสาวคนสนิท ซึ่งหมดสติเสียชีวิตอยู่ริมท่าน้ำบ้านโป่ง จ.ราชบุรี หลังไปปล่อยปลากับแอม และก้อย ยังอยู่ในแวดวงการกู้หนี้ยืมเงินกับแอม โดยทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่าการเสียชีวิตของก้อยในครั้งนี้มีมูลเหตุมาจากเรื่องหวังในทรัพย์สิน รวมถึงการวางยาฆ่าล้างหนี้ ภายหลังยังพบเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมของแอม-สรารัตน์ ไปเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตปริศนาที่มีลักษณะการตายคล้ายกันของบุคคลกว่า 14 ราย โดยมีความเกี่ยวพันกันทั้งในเรื่องวงแชร์และการให้ยืมเงินกันนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยความคืบหน้าทางคดีจาก พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 และในฐานะคณะทำงานชุดคลี่คลายคดี “แอม ไซยาไนด์” ว่า สำหรับการสืบสวนต้นตอขวดไซยาไนด์ที่แอมใช้ก่อเหตุนั้น เราค้นหาจากข้อมูลการจำหน่ายออกไปของบริษัทที่นำเข้า โดยบริษัทที่นำเข้าไม่ใช่บริษัทย่านลาดกระบัง ที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ ทำหน้าที่เป็นเพียงเทรดเดอร์ และซื้อมาจากบริษัทนำเข้าเจ้าใหญ่รายหนึ่งมาประมาณ 30 ขวด จาก 2,000 ขวด ซึ่งเราก็กำลังพยายามตรวจพิสูจน์ให้เหลือเพียงขวดเดียวที่เป็นของ แอม-สรารัตน์ คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้

พ.ต.อ.ภาคภูมิ ระบุอีกว่า ส่วนคนที่สั่งซื้อไซยาไนด์ให้แอมนั้น อาจจะซื้อมาจากบริษัทอื่นๆ ก็เป็นได้ เพราะจากการตรวจสอบเรายังพบว่ามีบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์อีกประมาณ 50 บริษัท ที่จำหน่ายสารไซยาไนด์ตัวนี้ อีกทั้งบางรายก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำอุตสาหกรรมจริงๆ ซื้อด้วยจำนวน 400-500 ขวด ดังนั้น จากจำนวนทั้งหมด 2,000 ขวด หักออกจากบริษัทขนาดใหญ่ก็จะเหลือรายเล็กรายย่อยที่ซื้อไปในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราก็ตัดจำนวนได้เยอะแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ขวดให้ตรวจพิสูจน์

เมื่อสอบถามถึงกรณีพยานผู้หญิงสองราย ได้แก่ น.ส.กุ้ง และ น.ส.ป่าน ซึ่งมีการสอบปากคำเนื่องจากมีการระบุว่า แอม สรารัตน์ ได้นำชื่อหนึ่งในสองคนนี้ไปสั่งซื้อไซยาไนด์ แต่เบอร์โทรศัพท์บนพัสดุกลับระบุเป็นเบอร์ของแอมแทนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พ.ต.อ.ภาคภูมิ ระบุว่า ข้อมูลส่วนนี้เรามีเรียบร้อย แต่เป็นข้อมูลว่ามีการสั่งซื้อ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าทั้งคู่สั่งซื้ออะไร ต้องไปพิสูจน์ก่อน ซึ่งการมีข้อมูลในเรื่องสั่งซื้อนี้ เราก็ต้องไปหาข้อมูลจากบริษัทผู้จัดส่ง ดูว่าสินค้าถูกส่งมาจากที่ไหน สั่งซื้ออะไรมา และปลายทางมีการจัดส่งไปที่ผู้อื่นอีกหรือไม่ เช่น ส่งไปที่ น.ส.ป่านโดยตรง หรือโทรศัพท์ไปที่เบอร์ที่ถูกระบุแต่มีคนมารับพัสดุเพื่อไปส่งที่ไหนต่อหรือไม่ แต่สาระสำคัญ คือ เราสงสัยเรื่องเบอร์โทรศัพท์ที่มีการระบุบนกล่องพัสดุ อย่างไรขอเวลาในการตรวจพิสูจน์ทราบให้ได้ข้อเท็จจริง

ส่วนบริษัทรายใหญ่ที่นำเข้าสารไซยาไนด์ หรือเทรดเดอร์ที่รับไซยาไนด์มาขายต่อจะมีความผิดใดหลังจากนี้หรือไม่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ระบุว่า ตนทราบว่าประเด็นนี้ ในวันจันทร์ที่ 8 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่ สโมสรตำรวจ ทางอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะมาประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อหารือถึงข้อกฎหมายที่มีอยู่เนื่องจากสารไซยาไนด์จะมีความผิดในเรื่องการครอบครองก็ต่อเมื่อมีไว้ในจำนวน 1,000 กิโลกรัม ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้ครอบครองก็จะมีผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก แต่ถึงแม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่จะมีการขออนุญาตนำเข้า แต่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มองในมิติอื่นด้วยว่า การขออนุญาตนำเข้ามีการระบุวัตถุประสงค์อย่างไร และการนำเข้ามาได้ถูกนำไปขายผิดวัตถุประสงค์ แบบนี้จะมีความผิดหรือไม่ และจะต้องรับผิดชอบอย่างไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ท่านคิด แต่อย่างไรก็ต้องนำมาวิเคราะห์ประกอบกับตัวบทกฏหมายหลายฉบับที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีด้วย อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับวัตถุอันตราย ประกาศกฎกระทรวงเรื่องเคมีภัณฑ์ เป็นต้น และหากพิจารณาในข้อกฎหมายร่วมกันแล้วพบว่ามีความผิดก็ต้องดำเนินคดีทั้งหมดต่อไป

พ.ต.อ.ภาคภูมิ ยังระบุปิดท้ายว่า ปฏิบัติการต่อไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเริ่มเข้มข้นขึ้น เพราะสังคมจะได้เห็นถึงผู้ที่มีส่วนร่วมกระทำความผิดในครั้งนี้กับผู้ต้องหา อาจจะเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ หรือเป็นตัวการร่วมก็ต้องมาดูพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวนสอบสวนรวบรวม เนื่องจากกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกชุดคณะทำงานก็ยังได้พยานหลักฐานเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการสรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการในระหว่างที่แอมถูกฝากขังผัดแรกอยู่นั้น ปกติแล้วสามารถฝากขังได้ 7 ฝาก เท่ากับ 84 วัน ซึ่งยืนยันว่าคณะทำงานส่งฟ้องทันแน่นอน และอาจจะส่งฟ้องในช่วงฝากที่ 6 ก็เป็นได้ เพราะผลตรวจพิสูจน์ต่างๆ ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่ได้จากการตรวจค้นการเก็บร่องรอยดีเอ็นเอ ผลตรวจพิสูจน์เรื่องเส้นทางการเงิน ค่อนข้างได้เกือบครบถ้วนแล้ว เพียงแค่เราต้องการรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมมากที่สุด ขอให้ทนายความไม่ต้องห่วง เรามั่นใจในพยานหลักฐานพอสมควร.