เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ จ.เชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงความคาดหวังหลักการจัดเวทีปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ในช่วงโค้งสุดท้ายว่าจะสามารถดึงคะแนนเสียงได้แค่ไหน ว่าตนมีความมั่นใจ เพราะเชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดที่สำคัญที่สุดของพรรค พท. ถือเป็นโฮมทาวน์ของเรา ดังนั้น จึงมีความคาดหวังว่าจะได้ ส.ส.ยกทั้งจังหวัด

เมื่อถามว่า มีการประเมินว่าหลังการเลือกตั้งจะกลับไปสู่วังวนการเมืองเดิม ในฐานะแคนดิเคตนายกฯ จะมีแผนรับมือกับสถานการณ์อย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนมีความมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนเหนื่อยมามากแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญ เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะให้ฉันทามติกับพรรคที่ตัวเองชอบ ส่วนเรื่องความวุ่นวายและความไม่แน่นอนหรือความไม่เป็นธรรมทั้งหลายนั้น เมื่อตนหลังเข้ามาสู่สนามการเมืองแล้ว ต้องเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย และการทำงานขององค์กรอิสระ ยอมรับว่าความระแวง ความหวาดกลัวแน่นอนว่าต้องมีบ้าง วันนี้อีกไม่ถึง 48 ชั่วโมง จะถึงการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น เราต้องมั่นใจว่าระบบที่เราอยู่จะให้ความเป็นธรรม

ผู้สื่อข่าวถามว่า วานนี้ (10 พ.ค.) บนเวทีปราศรัยมีการพูดถึงการรัฐประหาร และครอบครัวของคุณเศรษฐาก็ได้รับผลกระทบ นายเศรษา กล่าวว่า เรื่องนี้จริงๆ แล้ว ตนไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง แต่ถูกเชิญตัวไป และตนปฏิบัติตามทุกอย่าง ที่มีการริดรอนสิทธิของคนไทยคนหนึ่ง เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ถูกกระทำเช่นกัน ทั้งนี้ ตนเข้าใจแต่ตนไม่เห็นด้วยเรื่องของการข่มขู่ คุกคาม เพราะเราบอกแล้วว่าเราไม่ยอมรับการรัฐประหาร และเผด็จการ ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก พี่น้องประชาชนต้องเทใจให้ฝ่ายประชาธิปไตยให้ได้รับชัยชนะ

เมื่อถามถึงการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ 3 คนของพรรค พท. แต่ไม่บอกว่าใครจะเป็นนายกฯ เพื่อป้องกันการชี้เป้าและการเตะตัดขาใช้อุบัติเหตุทางการเมือง นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็เป็นความหวาดระแวง เพราะเราโดนมาแล้วหลายหน ตรงนี้เป็นกลยุทธ์ของเราเหมือนกัน ถือว่าต้องมีความระมัดระวังในการเดินไปข้างหน้าในเรื่องนี้ ยืนยันว่าทั้ง 3 คนพร้อม ใครคนหนึ่งได้เป็นอีก 2 คน ก็พร้อมทำงานคู่

เมื่อถามถึงกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกร้องตรวจสอบหุ้นสื่อ ถือเป็นการเตะตัดขาหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่ก็เป็นกำลังใจให้ และแน่นอนว่าทุกฝ่ายต้องได้รับความเป็นธรรม และเรามีความเป็นห่วงพรรคการเมืองบางพรรคที่เสนอชื่อแคนดิเดตฯ มาเพียงชื่อเดียว

เมื่อถามถึงการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 12 พ.ค.นี้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ทุกคนติดตาม ส่วนจะมีอะไรที่จะสามารถดึงคะแนนคนที่ยังไม่ได้ตัดสินได้หรือไม่นั้น นี่ก็เป็นธรรมดาของการปราศรัยครั้งสุดท้าย เรามีความหวังว่าเราจะโน้มน้าวคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจให้เลือกเราได้ เรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคใหญ่ เราเป็นสถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เรามั่นใจว่าทีมงานของเราพร้อม เราเชื่อว่าการปราศรัยของเราจะได้รับการติดตามจากพี่น้องประชาชน

เมื่อถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พยายามหาเสียงด้วยการปลุกพลังเงียบ หวั่นจะกระทบกับคะแนนของคนที่ยังไม่ตัดสินใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าพลังเงียบจะเลือกพรรค รทสช. ทั้งหมด พลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจก็มี เหตุผลที่เขาเงียบก็เพราะเขายังไม่ตัดสินใจ ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของพรรค พท. และทุกพรรคการเมืองที่จะดึงคะแนนเสียงตรงนี้ออกมา ส่วนอะไรที่จะดึงคะแนนตรงนี้ออกมาได้ คือความชัดเจนทั้งประสบการณ์ จริงๆ เราอย่าอยู่กับความฝัน แม้ความฝันไม่เสียเงิน เราอยู่กับความเป็นจริงดีกว่า ดูในอดีตดีกว่าว่า พรรคเพื่อไทยเคยทำนโยบายยากๆ ให้เกิดขึ้นได้ และได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน.