เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายพัช ทนายความของนางสรารัตน์ หรือแอม รังสิวุฒาภรณ์ ผู้ต้องหาคดีใช้สารพิษไซยาไนด์วางยาฆ่าล้างหนี้ชิงทรัพย์ น.ส.ศิริพร หรือก้อย ขันวงษ์ อายุ 32 ปี พร้อมนายไชยา คุ้มอ่ำ ทนายความที่ปรึกษากฎหมายของทนายพัช เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดตามมาตรา 184 “ช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลงโดยการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด”

โดยนายไชยา กล่าวว่า การออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาแบบนี้ เชื่อว่าเป็นการเตะตัดขากัน ให้สังคมพุ่งเป้าไปที่ “ทนายพัช” และพยายามตัดสิทธิไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ จึงอยากขอโอกาสให้ “ทนายพัช” เข้าไปช่วยเหลือลูกความอย่างเต็มที่ ซึ่งถือเป็นสิทธิของลูกความที่จะเลือกทนายเข้ามาช่วยเหลือทางคดี

ขณะที่ น.ส.ธันย์นิชา กล่าวว่า ขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันว่าไม่เห็นหรือเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของ น.ส.ก้อย ผู้เสียชีวิตในคดีนี้ สิ่งที่เกิดเป็นการทำหน้าที่ของทนายความโดยสุจริตตามกระบวนการกฎหมาย ยืนยันว่าทำงานด้วยความโปร่งใส และไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ กับ “แอม” ให้ส่งกระเป๋าให้ “แก้ว” ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ไว้วางใจ

ทนายพัช กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาไม่เคยใช้และไม่เคยรู้จักกระเป๋าแบรนด์เนมเลย ซึ่งข้อกล่าวหานี้เป็นการซัดทอดมาจากผู้ต้องหาคนอื่น (รองอ๊อฟ อดีตสามีแอม) ซึ่งไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่ซัดทอดมาถึงตัวเอง ส่วนประเด็นที่ว่าเคยรู้จัก น.ส.แก้ว มาก่อนหน้านี้หรือไม่ “ทนายพัช” ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกับสื่อมวลชน โดยบอกว่าขอไปตอบในสำนวน

ทนายพัช ยืนยันอีกว่า ตอนนี้ยังเป็นทนายความหลักให้ “แอม” อยู่ ส่วนจะมีทนายความคนไหนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดีด้วยก็สามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถแต่งตั้งทนายความคนอื่นเพิ่มได้ แต่ต้องสอดคล้องกับทนายหลัก และทนายหลักต้องยินยอม ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่ามีทนายความคนอื่นได้เข้าไปขอคัดสำนวนและขอเข้าไปพบ “แอม” หลายครั้ง และเบิกตัวมาขึ้นศาล ซึ่งทนายคนดังกล่าวไม่ได้ขอมาทำงานร่วมด้วย แต่ขอไม่พาดพิงถึง

ส่วนประเด็นเรื่องที่ “แอม” จะมีการฟ้องหมิ่นประมาทบุคคลต่างๆ ทั้งพิธีกร และสื่อมวลชน ทนายพัช ชี้แจงว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างหารือกับกลุ่มทนายใจดี แต่ยืนยันว่า ขณะนี้เตรียมจะฟ้องร้องอย่างแน่นอน ตนยืนยันว่าการทำหน้าที่ของทนายความมีหน้าที่ไปศาล ไม่ใช่มีหน้าที่ไปออกสื่อ ขณะที่เรื่องการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกจากมาตรา 157 แล้วจะใช้มาตราใหม่คือ พ.ร.บ.อุ้มหาย เข้ามาเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ทางตัวเองก็จะมีการฟ้องร้องในฐานหมิ่นประมาทกับสื่อมวลชนบางสำนักด้วย ยืนยันว่าไม่กังวลในประเด็นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จะใช้ทนายความช่วยคดีผู้ที่จะถูกฟ้องด้วย

ทนายพัช ยังกล่าวถึงกระแสสังคมที่โจมตีในประเด็นต่างๆ ว่า ถือเป็นปกติที่ใครจะมองว่าตนเป็นคนไม่ดี แต่ยืนยันว่าไม่กังวลและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยภายในสัปดาห์หน้า ตนจะเข้าพบลูกความอีกครั้งในทัณฑสถานหญิงกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อสอบถามถึงแนวทางการดำเนินคดีเพิ่มเติม นอกจากนั้นในเวลา 16.30 น. วันที่ 1 มิ.ย. นี้ จะขอเบิกตัวลูกความออกจากเรือนจำมายังศาลอาญา รัชดา ในกรณีที่ “แอม” ฟ้องร้องนายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานในคดีฐานหมิ่นประมาท

ทางด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า เบื้องต้นจากการสอบปากคำทนายพัช เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้การแย้งในประเด็นต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนสงสัย ซึ่งทำให้การต่างๆ ค่อนข้างขัดแย้งกับข้อมูลการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่สามารถหักล้างประเด็นต่างๆ ในคดีได้

ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่า ตำรวจเตะตัดขาทนายความ พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า มีความชัดเจนว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์เกินกว่าการเป็นทนายความ และเกินกว่าขอบเขตตามมรรยาททนายความ จึงถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทำลายพยานหลักฐาน แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าบุคคลที่ให้ปากคำซัดทอดมาถึงตัวทนายพัช แต่ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวมั่นใจในคำให้การ และตำรวจสามารถสืบสวนสอบสวนจนหาพยานหลักฐานมายืนยันคำให้การดังกล่าวได้

รอง ผบก.ป. ยังกล่าวด้วยว่า ถึงแม้ “แอม” จะให้การพลิกไปพลิกมาในแต่ละครั้งที่มีการสอบปากคำก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัวผู้ต้องหาเอง เพราะจะทำให้คำให้การของผู้ต้องหาเสียน้ำหนักทางรูปคดีและทำให้ศาลไม่เกิดความเชื่อถือ ส่วนกรณีที่ทนายความของ “แอม” แสดงความมั่นใจว่าลูกความจะออกมาแจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาความผิดเกี่ยวกับ มาตรา 157 และกฎหมายใหม่ที่เพิ่งถูกประกาศใช้ ถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้.