จากกรณีดราม่าที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ สำหรับ “น้องหยก” นักเรียนหญิงวัย 15 อดีตผู้ต้องหา ม.112 ออกมาประกาศว่าถูกโรงเรียนไล่ออก และยังพยายามปีนรั้วเข้าโรงเรียนหลายครั้ง จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งต่อมาทางโรงเรียนก็ออกมาชี้แจ้งว่า ไม่เคยปฏิเสธการรับนักเรียนเข้าเรียน พร้อมดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี หรือ หมอเดว กุมารแพทย์เฉพาะด้านเด็กและวัยรุ่น ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก บันทึกหมอเดว ระบุว่า “มีผู้ใหญ่และสื่อสอบถามความเห็น กรณีเด็กที่ถูกโรงเรียนปฏิเสธ”

วินัยในการอยู่ร่วมกัน เป็นสิ่งจำเป็น
การแก้ปัญหาที่ดีคือสันติวิธี ไม่ใช้อารมณ์ ให้เกียรติกันและกัน
การเคารพและปฏิบัติตามกติกา ที่มีส่วนร่วมออกแบบมาด้วยกันนั้น
ความเข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการวัยรุ่น สำคัญกับการรับมือแก้ปัญหา
อำนาจนิยมของผู้ปกครองและผู้ใหญ่ ที่หลายครั้งเด็กๆ หลายคนเจ็บปวดกับการใช้อำนาจนิยมของผู้ใหญ่ #โดยที่ผู้ใหญ่ไม่เป็นต้นแบบที่ดี แต่บังคับเด็ก ออก ระบบระเบียบ โดยขาดการรับฟังด้วยสติ เปิดใจ ฟัง

สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่ไม่รุกล้ำคนอื่น จึงเป็นเหตุให้ต้องกำหนดกติกาการอยู่ร่วมกัน ที่เราเรียกว่า #วินัยในการอยู่ร่วมกัน นั่นเอง
ความสมดุล ของ การทำให้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และวินัยในการอยู่ร่วมเป็นไปได้ด้วยกันนั้น เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วม สังเกตวิธีปฏิบัติได้ดังนี้
กฎขององค์กร บังคับใช้กับทุกคนไม่มีข้อยกเว้น เช่น หากเรียกว่านี่เป็น #กฎของโรงเรียน ก็แสดงว่า ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ที่อยู่ในองค์กรต้องปฏิบัติร่วมกันเหมือนๆ กัน
กฎของบุคคล เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเฉพาะ เวลาออกแบบกฎกติกา ต้องสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เช่น กฎของนักเรียน ก็แสดงว่า ต้องดึงการมีส่วนร่วมจากเด็กทุกฝ่าย ไม่เพียงแต่สภานักเรียน แต่รวมทั้งกลุ่มเด็ก ที่อยู่ในรั้ว ไม่ได้เป็นสภานักเรียนแต่อาจจะเป็นเด็กหลังห้อง เด็กทุกกลุ่ม มาใช้หลัก #สุนทรียสนทนา (ด้วยหลักการ 5 ให้ และ 5 ไม่) เพื่อกำหนดกติการ่วมกัน และเคารพ และปฏิบัติร่วมกัน

“ทั้งนี้ กฎกติกาที่ออกแบบต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งชาติ และเป็นไปด้วยเจตนารมณ์ที่ใช้สติและความสันติสุขในการอยู่ร่วมกัน” ก่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันแบบสร้างสรรค์ ไม่ทำลายล้าง หรือ ไม่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ใช้การพูดคุยดีๆ ตกลงกันดีๆ มากกว่าการด่าทอ ที่หลุดอารมณ์

อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ จิตวิทยาพัฒนาการวัยรุ่น จากกราฟแท่ง ดำ แท่งขาว สะท้อนพฤติกรรม ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แท่งดำสะท้อนพฤติกรรมเสี่ยง ขณะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ก๊วน ที่อยากเป็นที่สนใจ อยากดัง อยากเป็นเป้าสายตา แท่งขาว สะท้อนพฤติกรรมที่ไม่มีความเสี่ยง เมื่ออยู่คนเดียว ไม่มีการสร้างภาพอยากดัง การยอมรับแบบผิดๆ การเป็นจุดสนใจใดๆ

เมื่อนำพฤติกรรมเสี่ยงมาวัด จะพบว่า เด็กวัยรุ่น 13-16 ปี ช่วงวัยรุ่นตอนกลาง ต่อปลายนั้น เมื่อเด็กอยู่ตัวคนเดียว จะใช้สติ ความคิด มาคุยและพฤติกรรมจะมีความเสี่ยงลดลง ในขณะที่ หากอยู่เป็นกลุ่ม ก๊วน แก๊ง พฤติกรรมเสี่ยงจะพุ่งสูงขึ้นมากๆ (แท่งสีดำ) ทั้งนี้อยู่ที่ทุนชีวิต (Braker ทุนชีวิต) ว่าจะแสดงออก ความเสี่ยงรุนแรงมาก เบา หนักต่างกันในแต่ละคน

ขณะที่พออายุมากขึ้น ประสบการณ์ที่หล่อหลอม ขึ้นกับ ทุนชีวิต และระบบนิเวศที่ดี จะช่วยหล่อหลอมให้ ใจเย็นลง และใช้สติ ใช้เหตุผล มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น เรื่อยๆ จน ทำให้ แท่งดำ (พฤติกรรมเสี่ยง ในขณะที่อยู่ในกลุ่ม ก๊วน แก๊ง) ลดระดับความเข้มข้นลง เรื่อยๆ “ย้ำว่า ขึ้นกับทุนชีวิต และระบบนิเวศ ที่ช่วยหล่อหลอม ทุนชีวิต หากอยู่ในระบบ ทุนชีวิต ที่ย่ำแย่ แท่งดำ จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม”

ฉะนั้น การสร้างทุนชีวิต จึงมีความหมายต่อเด็กทุกคน ระบบพี่เลี้ยงในชุมชน โดยใช้จิตวิทยาพลังบวก และกระบวนการทุนชีวิต ทั่วประเทศ คือ คำตอบ ในการสร้างพลังบวก (ไม่ใช่พร้อมบวก) กรณีที่เกิดขึ้น หากกติกา นั้นเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมอย่างดีแล้ว จำต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ร่วมกันออกแบบนั้น โดยผู้ใหญ่ทุกคนต้องเข้าใจนะครับว่า กฎเกณฑ์นั้นร่างเพื่อทั้งโรงเรียนที่เรียกว่า กฎของโรงเรียน บังคับใช้แม้แต่ครูและผู้อำนวยการ ผู้บริหารด้วยกัน หรือว่า เป็นกฎเฉพาะนักเรียน หากเฉพาะนักเรียน “โปรด อย่าลืม ว่า เด็กๆ คือ องค์ประกอบสำคัญการมีส่วนร่วมในการออกแบบนั้นๆ ด้วย บนการตกลงร่วมกันด้วยสติ เหตุผลมากกว่าความคึกคะนอง และ ยอมรับได้”

สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน ทั้งๆ ที่ออกกติกาการอยู่ร่วมด้วยกันเองแท้ๆ ก็จำเป็นที่ต้องมีการพูดคุย รับฟัง เข้าใจ และตกลงร่วมกัน (#ด้วยหลักสุนทรียสนทนา) พร้อมกำหนดขั้นตอนหากไม่เคารพต่อกัน การตักเตือน และ ถ้าถึงที่สุด จริงๆ ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กนั้น ผู้ปกครองที่เด็กไว้วางใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องจัดหาระบบการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กต่อไป (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546 เด็กหมายถึงบุคคลที่อายุน้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์)..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @บันทึกหมอเดว