เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 9 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ป.อาญา ม.157 และ 200 วรรคสอง กรณีนายธาริตกับพวก แจ้งข้อหาดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ฐานสั่งฆ่าประชาชน ในการสลายม็อบ นปช.เมื่อปี 53

จำเลยทั้งสี่ ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลย โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

จำเลยทั้งสี่ ยื่นฎีกา ขอให้ยกฟ้อง ต่อมาวันที่ 2 ก.พ. 2566 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาคดีนี้เป็นครั้งที่ 7 แต่นายธาริต มอบหมายให้ทนายความยื่นคำร้องพร้อมใบรับรองแพทย์ ขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อนเนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดนิ่วในไต ที่โรงพยาบาล โดยแพทย์ให้รักษาและรอดูอาการเป็นเวลา 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายธาริต จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนฟังคำพิพากษาฎีกาโดยอ้างว่าป่วยมาแล้วหลายครั้งนานกว่า 1 ปี มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้า และมีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายจับนายธาริต เพื่อมาฟังคำพิพากษาฎีกาและนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา ในวันดังกล่าวนายธาริต พร้อมทนายความเดินทางมาศาล

ทั้งนี้ทนายความนายธาริตจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปรับปรามการทุจริต มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคแรก มาตรา 26, 27, 29 วรรคแรก ส่งผลให้กฎหมายดังกล่าว เป็นอันใช้บังคับกับคดีไม่ได้ รวมทั้งนายธาริต จําเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การฉบับเดิม และขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพตลอด ข้อกล่าวหาเพื่อขอให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษด้วย

ต่อมา ในนัดวันนี้จำเลย 2-4 เดินทางมาศาลยกเว้นจำเลยที่ 1 นายธาริต ซึ่งมีทนายความรับมอบอำนาจพร้อมนายประกันมาศาล พร้อมยื่นคำร้อง 2 ฉบับ โดนฉบับแรกยื่นขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาในวันนี้ออกไป เนื่องจากมีอาการป่วยบ้านหมุนพร้อมใบรับรองแพทย์

ส่วนอีกฉบับเป็นคำร้องเพิ่มเติมที่เคยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปก่อนแล้ว

โดยศาลพิเคราะห์แล้วให้ส่งคำร้องทั้ง 2 ฉบับ ให้ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในวันนี้ และจะนัดฟังคำสั่งว่าศาลฎีกาจะมีคำวิจฉัยไปแนวทางใด และจะมีคำสั่งในวันนี้เลยหรือไม่ พร้อมนัดคู่ความทั้ง 2 ฝ่ายมาฟังคำสั่งในเวลา 14.00 น.

เวลา 14.00 น. ศาลอาญาได้แจ้งจำเลยว่าขณะนี้ทางศาลฎีกาอยู่ระหว่างพิจารณาทำคำสั่ง ซึ่งศาลฎีกาแจ้งว่าจะมีคำสั่งในวันนี้ ศาลอาญาจึงแจ้งให้จำเลยที่มาในวันนี้อยู่รอฟังจนกว่าคำสั่งของศาลฎีกาจะส่งมายังศาลอาญา

กระทั่ง เวลา 17.00 น. ศาลอาญาอ่านคำสั่งศาลฎีกา พิจารณาแล้ว เห็นว่า นายธาริต จำเลยที่ 1 ใช้อาการเจ็บป่วยเป็นคำร้องขอเลื่อนการฟังคำสั่งคำพิพากษามาแล้วหลายครั้ง และมีพบว่าหลายครั้งที่มีใบรับรองแพทย์ จาก พญ. จาก รพ.แห่งหนึ่ง

แต่พบว่าการลงลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ในใบรับรองแพทย์แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นกำหนดนัดอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาภายใน 30 วัน ให้ไต่สวนใบรับรองแพทย์และแพทย์หญิงคนดังกล่าว ว่าอาการป่วยของจำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยจริง และไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ตามกำหนดนัดเป็นข้อเท็จจริงถูกต้องหรือไม่

โดยศาลอาญานัดไต่สวนใบรับรองแพทย์ในวันที่ 3 ก.ค. เวลา 09.00 น. โดยจะมีการเบิก พญ. มาไต่สวนโดยไม่ต้องให้จำเลยที่ 1 มา และเลื่อนฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาออกไปเป็น วันที่ 10 ก.ค. เวลา 09.00 น.