กรณีน.ส.สุพรรณี กิตติรัตนา อายุ 57 ปี ผู้โดยสาร ขณะกำลังเดินทางไปจ.นครศรีธรรมราช ประสบอุบัติเหตุถูกทางเลื่อนอัตโนมัติบริเวณทางเดิน South Corridor ระหว่าง Pier 4 – Pier 5 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 สนามบินดอนเมือง เกิดดูดขาข้างซ้ายขาดจนถึงเหนือหัวเข่าและรักษาตัวอยู่ที่ รพ.บำรุงราษฎร์ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ (29 มิ.ย.) ที่ผ่านมา

ความคืบหน้าวันที่ 6 ก.ค. ที่สน.ดอนเมือง นายกฤตย์ กิตติรัตนา ลูกชายของน.ส.สุพรรณี ผู้บาดเจ็บ พร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สน.ดอนเมือง และพนักงานสอบสวน เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

โดยนายกฤตย์ กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่ามีเหตุการณ์ที่คุณแม่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งก็เป็นขั้นตอนของผู้เสียหายที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกระบวนการ ซึ่งก็เป็นในส่วนสำคัญที่จะต้องมีใบบันทึกประจำวันไม่ว่าจะเป็นเรื่องประกันหรือส่วนอื่น ทางครอบครัวจึงคิดว่ามันถึงเวลาแล้วจึงมาลงประจำวันไว้ก่อน และอย่างที่เคยบอกเราอยากทราบว่าความจริงเป็นอย่างไรมากกว่าว่าใครเป็นคนผิด

ในส่วนของการท่าอากาศยานก็ในเบื้อนต้นเท่าที่ทราบกันว่าหลังเกิดเหตุได้มาเยี่ยมเยียนพูดคุยให้คำสัญญาจะดูแลเรื่องการรักษา รวมถึงการพูดคุยค่าเยียวในลำดับถัดไป ในส่วนเรื่องของเหตุการณที่เกิดขึ้นยังไม่ทราบอะไรเพิ่มเติมจากจดหมายเปิดผนึกที่ตนเคยเขียนไปก่อนหน้านี้

ฐานะที่ตนเป็นเด็กจึงขอออกความเห็นกลางๆ และในฐานะประชาชนที่ใช้สนามบินคนหนึ่ง สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินระหว่างประเทศที่มีทั้งคนไทยและต่างชาติมาใช้เยอะ ในเรื่องของความปลอดภัยควรจะต้องเป็นมาตรฐาน เมื่อเกิดเหตุจะให้บอกว่ามันโอเคก็คงเป็นไปไม่ได้ ในฐานะผู้สูญเสียต้องบอกจริงๆ ว่ามาตรฐานอาจไม่ถึงจุดที่สามารถดูแลผู้เดินทางได้ทุกคน แต่ในเชิงเทคนิคตนเองขอไม่ออกความเห็น

เวลาผ่านมาเกือบจะ 1 สัปดาห์ในใจอยากขอความเป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมาเป็นที่สุด ซึ่งผ่านมาแล้วหลายวันยังไม่มีความคืบหน้าก็เป็นความไม่สบายใจเช่นกัน แต่ก็อยากให้ทราบสาเหตุเร็วที่สุด ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดตนเองได้ดูแล้วและเป็นไปตามที่มีการแถลงก่อนหน้านี้ ที่บอกว่ากล้องมันไกลจะไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน ส่วนกระแสข่าวว่าคุณแม่ไม่ระวังขณะเกิดเหตุเพราะเล่นมือถืออันนี้ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะมีมุมกล้องบางมุมเห็นชัดเจนว่าคุณแม่ไม่ได้มีการหยิบมือถือมาเล่น เพราะคุณแม่ยืนยันว่าขณะเกิดเหตุคุณแม่ให้พยานท่านหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋าคุณแม่ออกมาแล้วคุณแม่เป็นคนถ่ายรูปในที่เกิดเหตุ

นายกฤตย์ กล่าวอีกว่า ต้องบอกตามตรง พยานหลายหลายท่านอาจจะไม่สะดวกหรือเปิดเผยตัวตนที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ ตนเองได้แต่หวังว่าอาจจะมีพยานบางท่านที่พร้อมจะให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน หรือทักเข้ามาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตนเองฟังก็พอใจแล้ว อย่างวันนี้ในเรื่องของกระแสข่าวทีวีว่าคุณแม่เล่นมือถือขณะเดินทางก็มีสบายใจขึ้นว่า อุบัติเหตุไม่ได้เป็นเพราะคุณแม่เล่นมือถือขณะเดินทาง

สำหรับอาการคุณแม่ตอนนี้แม่ดีขึ้น สามารถออกมาฝึกเดินได้แล้ว 2 วัน ประมาณวันที่สี่ก็สามารถลุกเดินเองได้ด้วยวอล์กเกอร์ ในส่วนของสภาพจิตใจยอมรับว่ากำลังใจท่านค่อนข้างที่จะดี ซึ่งก็ถือว่าคุณแม่สภาพจิตใจดีกว่าคนที่เข้าไปเยี่ยมเสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามผลสรุปเรื่องราวทั้งหมดคงต้องให้คุณแม่ตัดสินใจว่าจะเอาความใครหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ถามคุณแม่มีความกังวลในเรื่องของภาระที่จะต้องดูแล คุณตาคุณยายรวมถึงอื่นๆ ที่คุณแม่ต้องหารายได้มาดูแล ในส่วนนี้ตนเองในฐานะลูกก็คงจะดูในส่วนของเรื่องการเจรจาสินไหมทดแทนหรือค่าเยียวยา