จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก “สะใภ้เกาหลีใต้มาดามลี” ได้โพสต์แชร์เหตุการณ์มีหญิงสาวชาวไทยถูกน้ำป่าดินถล่มพัดจนเสียชีวิต 1 รายจากกรณีพายุถล่มเกาหลีใต้ที่เมืองมุลคย็องชี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และมีรายงานว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นแรงงานไทยที่ไปทำงานที่เกาหลีใต้ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครราชสีมา นั้น

น้ำท่วมใหญ่เกาหลีใต้ตายพุ่งเกิน30 สุดเศร้าสาวไทยเสียชีวิต1ราย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากญาติของแรงงานหญิงไทยคนดังกล่าวทราบว่า มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหนองแคทราย หมู่ที่ 8 ต.ลำเพียกอ.ครบุรี จ.นครราชสีมา จึงเดินทางไปยังบ้านเกิดของหญิงสาวที่เสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 8 ต.ลำเพียก พบว่าบริเวณหน้าบ้านมีบรรดาญาติพี่น้องของผู้ที่มีรายงานเสียชีวิตจากเหตุน้ำป่าดินถล่มที่ประเทศเกาหลีใต้กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสียกันเป็นจำนวนมาก โดยทราบชื่อผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ คือ นางสาวพชรมน รัตน์กระโทก อายุ 33 ปี ซึ่งเดินทางไปทำงานเป็นคนสวนและโกดังผลิตน้ำผลไม้เพื่อทำไวน์ให้กับนายทุนคนหนึ่งที่เมืองมุคย็องชีกับสามีคือ นายสุพิชา สู่กระโทก อายุ 33 ปี มานานกว่า 4 ปีแล้วโดยถูกกระแสน้ำป่าพัดจนเสียชีวิตและทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถเก็บกู้ร่างกลับคืนมาได้แล้ว ขณะที่ทางนายสุพิชา สามีก็ได้ยืนยันตัวตนศพเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกันตอนนี้อยู่ระหว่างการประสานงานตามระเบียบขั้นตอนของทางประเทศเกาหลีใต้เพื่อที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

จากการสอบถามนางสาวมินตรา สุดาทิพย์ อายุ 25 ปี น้องสาวของแรงงานไทยที่เสียชีวิต เล่าว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 09.00 น.ของวันที่ 15 ก.ค. 66 มีข้อความทางเฟซบุ๊กจากคนที่ไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้แจ้งเข้ามาให้รีบติดต่อกลับด่วน เมื่อติดต่อกลับไปปลายทางก็เป็นเสียงของพี่เขย คือ นายสุพิชา บอกว่า ตอนนี้พี่สาว คือ นางพชรมน ได้เสียชีวิตแล้วจากเหตุน้ำป่าไหลหลากพัดเอาพี่สาวเข้าไปในโกดังเก็บของ แม้ว่าจะพยายามหาทางช่วยเหลือจนสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 06.00 น. ตามเวลาที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการค้นพบศพ และพี่เขยก็ได้ยืนยันตัวตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในระว่างการประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ เพื่อที่จะให้ดำเนินการนำพี่สาวและพี่เขยกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นคาดว่าน่าจะต้องทำการเผาที่ประเทศเกาหลีใต้แล้วน่าจะนำเอาเถ้ากระดูกของพี่สาวกลับมาบ้าน ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เพราะเหตุการณ์นี้มีผู้สูญหายเป็นจำนวนมาก ขณะที่พี่สาวและพี่เขยไม่ได้เดินทางไปทำงานตามระบบ แต่อาศัยวีซ่านักท่องเที่ยวเข้าไปทำงาน ดังนั้นเมื่อมีการแจ้งความผู้เสียชีวิตแล้วทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องทำเรื่องไปยังสถานทูต เพื่อให้พิจารณาขั้นตอนการดำเนินการตามระเบียบต่อไป จึงอยากวิงวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือใครก็ตามที่พอจะช่วยเหลือได้ ให้ช่วยดำเนินการนำพี่สาวและพี่เขยกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะได้พาพี่สาวกลับมาบำเพ็ญกุศลตามพิธีกรรมทางศาสนาเป็นครั้งสุดท้าย

ด้านนางสมพงษ์ รัตน์กระโทก อายุ 51 ปี มารดาของนางสาวพชรมน ผู้เสียชีวิต กล่าวทั้งน้ำตาว่า เมื่อได้ยินข่าวว่าลูกสาวเสียชีวิตนั้นตัวเองแทบช็อก ใจจะขาด ทำใจไม่ได้เพราะการสูญเสียในครั้งนี้รวดเร็วเกินตั้งตัว ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ ลูกสาวถือเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นคนดี กตัญญูรู้คุณทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เมื่อก่อนก็ทำไร่ ทำสวน รับจ้างนานาชนิดเพื่อนำเงินมาใช้หนี้สินและเลี้ยงครอบครัวโดยไม่ได้หยุดพัก เมื่อมีโอกาสก็อยากไปทำงานต่างประเทศเพื่อที่จะหาเงินให้ได้โดยเร็ว ไปอยู่เกาหลีมาแล้วนานกว่า 4 ปีเก็บเงินส่งเสียทางบ้านจนไถ่ถอนที่ดินของแม่ที่ไปจำนองเอาไว้ 17 ไร่กลับคืนได้ทั้งหมด และสร้างต่อเติมบ้านเพิ่มขึ้นมาเป็น 3 หลัง เพื่อให้ครอบครัวทั้งแม่ ลูกสาวของตัวเองที่จำใจต้องทิ้งไปอยู่ต่างแดนอีก 3 คน คนโตอายุ 13 ขวบ คนรองอายุ 10 ขวบ และคนเล็ก อายุ 7 ขวบ โดยที่ไม่มีโอกาสได้กอดลูกได้อยู่สบาย และตั้งใจว่าของทำงานเก็บอีก 2 ปีก็จะกลับมาตั้งตัวที่บ้านเกิดอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องมาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ หากเป็นไปได้อยากให้ตัวเองเป็นตัวแทนลูกดีกว่าเพราะอยากให้ลูกสาวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอีกครั้ง สงสารหลานสาว 3 คนที่ตอนนี้ต้องกลายเป็นกำพร้าแม่ไปแล้ว.