เมื่อเวลา 11.10 น. วันที่ 17 ก.ค. ณ จุดแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) คณะสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นำโดย นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. และกลุ่ม ส.ว. อาทิ นายสมชาย แสวงการ, นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ, นายออน กาจกระโทก, นายจเด็จ อินสว่าง, น.ส.ปิยฉัฏฐ์ วันเฉลิม, นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร เป็นต้น พร้อมทีมทนายความแถลงข่าว เรื่อง “การถูกคุกคาม และได้รับความเสียหายจากสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์และการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทางกฎหมาย” ซึ่งจะมีการฟ้องร้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งกับบุคคลที่โพสต์ข้อความหมิ่นประมาท กระทบต่อธุรกิจของครอบครัว และเครือญาติ จนได้รับความเสียหาย หลังจากที่วุฒิสภาส่วนใหญ่ไม่โหวต “ไม่เห็นชอบ” และ “งดออกเสียง” ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา

นายเสรี กล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในลักษณะที่มีการกระทำข่มขู่ คุกคาม จากคนบางกลุ่มหรือหลายๆ คน ที่ทำให้เห็นได้ว่าสิ่งที่ ส.ส. และ ส.ว. ได้ลงมติไม่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกระบวนการทางรัฐสภาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าพฤติกรรมของคนที่แสดงออกมาซึ่งความเกลียดชัง ความโกรธ ได้กระทำต่อ ส.ว. จำนวนมาก กระทบล่วงเลยไปถึงสิทธิส่วนบุคคลคนในครอบครัว ญาติ ลูกเมีย และกิจการที่ทำอยู่จำนวนมาก ดังนั้น ส.ว. หลายท่านเห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร เป็นพฤติกรรมที่ยิ่งกว่าก้าวร้าว แสดงออกด้วยพฤติกรรมให้ร้ายคนอื่น ใช้ถ้อยคำหยาบคายดูถูก ดูหมิ่น ทำให้คนเกิดความเกรงกลัว มีพฤติกรรมอย่างนี้อยู่ตลอด และก้าวล่วงไปถึงการใช้ถ้อยคำ และพฤติกรรม ที่ไม่ควร และผิดกฎหมายต่อสถาบันหลายครั้ง การบังคับใช้กฎหมายไม่มีการเกรงกลัว ทุกคนอยากจะด่าใครก็ได้ ถ้าไม่พอใจใคร ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายที่เห็นต่าง ก็จะแสดงพฤติกรรมให้ร้ายคนอื่น

นายเสรี กล่าวต่อว่า แม้แต่กลุ่มดารา นักร้อง นักแสดงที่ไม่เห็นตรงกับเขา ก็ไปกระทำการอันธพาล ทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ลูกเด็กเล็กแดงในสังคมทั่วๆ ไปในโรงเรียน ก็จะถูกคนกลุ่มนี้คอยกดดัน ปัจจุบันเด็กๆ ตามโรงเรียนต่างๆ หากใครเป็นลูกหลาน ส.ว. หรือใครที่มีความเห็นต่าง ก็จะถูกกดันไม่ให้เด็กเหล่านี้อยู่ในกลุ่มตัวเอง ไม่ให้ทำกิจกรรมด้วย สิ่งเหล่านี้ลามไปทั่วทุกพื้นที่ในบ้านเมืองเรา ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่คนที่ทำเรื่องเหล่านี้ โดยมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังคอยยุยงส่งเสริมเด็กให้ทำแต่เรื่องผิดกฎหมายอ้างแต่เสรีภาพ และพรรคการเมืองเหล่านี้อยู่เบื้องหลังให้เด็กไปกระทำความผิด ด่าทอคนอื่น จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันจนถูกดำเนินคดีเสียอนาคต

“เรายอมปล่อยให้สิ่งเหล่านี้อยู่ในบ้านเมืองไทย สังคมไทยได้อย่างไร วันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาพูดกันในเรื่องนี้ ต้องมาแสดงออกให้ชัดเจน ว่าต่อไปนี้ ส.ว. ไม่ทนแล้ว ไม่ทนพฤติกรรมการกระทำที่เลวร้ายแบบนี้ ทำลายชาติ ทำลายสังคม ทำลายวิถีชีวิตที่ดีงามของคนไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในวุฒิสภา เราถูกด่าทออยู่ตลอดเวลา วันนี้ผมจะเริ่มต้นจากการดำเนินคดีกับคนที่ให้ร้ายดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น ไม่เห็นความสำคัญในเสรีภาพของคนอื่น ซึ่งผมได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาใน 2 คดี โดยคนที่ถูกฟ้องคือ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ “ทนายเดชา” กับ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น” เรียกค่าเสียหายรายละ 5 แสนบาท พฤติกรรมเหล่านี้เราจะฟ้องก่อน 2 คดี เพื่อให้สังคมได้ตื่นรู้ว่าเสรีภาพเป็นของทุกคน ใครละเมิดทำร้ายคนอื่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต้องรับผิดชอบ” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวต่อว่า ส่วนลำดับต่อไปเราจะดำเนินคดีกับคนที่กล่าวให้ร้าย ไม่ว่าจะส่งข้อความทางโซเชียลหรืออะไรก็ตาม บางคนเข้าใจผิดคิดว่าไม่ใช่คำหมิ่นประมาท แต่ก็เป็นคำที่สร้างความเสียหาย หากไม่มีความผิดทางอาญาก็ต้องผิดทางแพ่ง พวกท่านไม่มีสิทธิด่าใคร เอ่ยชื่อใครให้เสียหาย ดังนั้น ทางโซเชียลทั้งหลายตอนนี้เราจะตรวจสอบให้หมด ใครทำร้ายกิจการงานของ ส.ว. เราจะดำเนินคดีให้หมด ส่วนนี่คือการฟ้องคดีต่อศาล ขณะที่อีกส่วนคือการแจ้งความดำเนินคดี เราจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีเอาผิดเอาโทษกับคนที่ปากอยากจะพูดอะไรก็ได้ ให้ร้ายใครก็ได้ สังคมจะได้ตื่นตัว เราต้องช่วยกันที่จะกล้าออกมาต่อสู้กับคนพวกนี้ อย่าไปกลัว เพราะถ้ากลัวสังคมจะเกิดความเสื่อม

“กิจการงานต่างๆ ของ ส.ว. พวกเขาทำลิสต์รายการเลยว่ากิจการไหนที่จะให้คนไปบูลลี่ให้ร้ายเพื่อทำให้กิจการนั้นล่มสลาย ของผมโดนแล้วตลาดเสรี มีการส่งข้อความมาว่าร้ายแม่ค้าในตลาด จริงๆ พวกนี้โง่ ไม่ฉลาด คนที่เขาลงคะแนนในพรรคการเมืองพรรคนี้ ก็คือพวกแม่ค้า ลูกค้า ที่เข้าตลาดผม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นทำเป็นเรื่องทำร้ายคนอื่น หรือแม้แต่กิจการหมอเส็งของ ส.ว.วิวรรธน์ ที่มีสาขาทั่วประเทศ คนของหมอเส็งเลือกพรรคก้าวไกลเกินครึ่ง แต่ก็ยังไปทำร้ายเขา เอาชื่อบริษัทเอาชื่อกิจการเขามาใส่บัญชี แล้วบอกว่าอย่าไปอุดหนุนเขา คุณอยากลิดรอนการทำหน้าที่ของ ส.ว. แต่อีกด้านคุณไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่คุณทำมันกระทบชีวิตพี่น้องประชาชนในการทำมาค้าขาย ไม่แยกการเมืองกับชีวิตส่วนตัว เอามาปนกันเพื่อสร้างมวลชนให้สนับสนุนคุณ ผลักดันให้คุณเป็นนายกฯ” นายเสรี กล่าว

ด้านนายสมชาย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังตรวจค้นบัญชีผู้ใช้ต่างๆ ที่โจมตีให้ร้าย และคุกคาม ส.ว. โดยพวกเราจะฟ้องต่อศาล และแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งทางแพ่งและอาญา ยืนยันขณะนี้บุคคลที่กระทำผิดเราสามารถหาหลักฐานได้หมดแล้ว

“ภายหลังจากที่ ส.ว. ลงมติโหวตแป๊บเดียว มีบัญชีผู้ใช้บุคคลคนเดียวยิงข้อความทั้งหมด 4 แสนครั้ง เรียนตามตรง เป็นไปไม่ได้ที่เป็นมนุษย์ทำ แต่คือโรบอท หรือ AI ซึ่งเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองบางพรรคที่รัฐไม่เท่าทัน เพื่อใช้ในการโจมตี ฉะนั้น แอคเคานท์หลุมตามกระแสถูกดำเนินคดีแน่นอน ไม่ต้องดอกไม้ ไม่มีขอขมา ราคาแพงที่ท่านต้องจ่าย เพราะนี่คือพฤติกรรมภัยคุกคามต่อครอบครัวของเรา ส.ว. บางท่านที่มีลูกสาวก็โดนขู่ว่าจะไปข่มขืนด้วย และเราตรวจเจอหมดแล้ว” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวอีกว่า ขอประชาชนอย่ามีอารมณ์ร่วม ถามว่าเวลาผิดแล้วมีพรรคการเมืองมาประกันตัวให้หรือไม่ เห็นแต่ประกันบุคคลกระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถ้าบอกว่ากระทำไปเพราะหลงผิด ถามว่าชี้แจงแบบนี้ได้หรือไม่ การกระทำผิดครั้งนี้ไม่ได้ใช้อาวุธปืน แต่เป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารทำแทน

ขณะที่ นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ส.ว. เจ้าของกิจการหมอเส็ง กล่าวเสริมว่า ได้ปรึกษากับเพื่อน ส.ว. ที่ได้รับผลกระทบถูกคุกคาม ภายหลังการโหวตนายพิธา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนคือ การฟ้องดำเนินคดีทางแพ่ง และทางอาญา ดังนั้น ไม่ว่าจะมีการคุกคามโดยผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็จะแจ้งความดำเนินคดีอาญา ถ้าหากมีผลกระทบต่อธุรกิจของ ส.ว. ก็ต้องฟ้องละเมิดทางแพ่ง เรียกได้ว่าทั้งเสียเงิน และติดคุก ต่อให้จะคุกคามแล้วเลี่ยงไปมา หรือคุกคามแล้วทำให้เกิดความเสียหายก็หนีไม่พ้นความผิดทั้งแพ่ง และอาญา ยืนยันว่า ส.ว. ที่ได้รับผลกระทบจะดำเนินคดีทุกคน ตนจะปรึกษาตำรวจไซเบอร์ว่าแต่ละความผิดเข้าองค์ประกอบทางแพ่งหรืออาญาบ้าง อย่างไรก็ตาม ตนเป็นคนรักสถาบันอย่างมาก ตนไม่กลัวทัวร์ลง มาลงที่ตนเลย แต่ถ้าใครมาทำลายสถาบัน ต้องข้ามตนไปก่อน