กรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งหมายเดินทางกลับประเทศในวันที่ 22 ส.ค. เวลา9.00 น. นั้น จะต้องมาเข้าสู่กระบวนการของศาลเบื้องจากเป็นบุคคลตามหมายจับ อย่างที่มีกระแสข่าวไปก่อนหน้านี้ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เดินทางแล้ว! ‘ยิ่งลักษณ์’ บินส่ง ‘ทักษิณ’ สิงคโปร์ ส่งไม้ต่อ ‘โอ๊ค-บรรณพจน์’ รับกลับไทย

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 19 ส.ค. แหล่งข่าวจากศาลยุติธรรม ได้ให้ข้อมูลน่าสนใจว่า เมื่อนายทักษิณ มาขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังเดินทางกลับประเทศ และมีกระบวนการควบคุมตัวตามขั้นตอนเพื่อนำส่งศาลแล้ว ศาลจะสอบถามว่าเป็นบุคคลตามหมายจับศาลในคดีนี้ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะสรุปคำพิพากษาโดยย่อให้ฟังว่า คดีหวยบนดิน ศาลจำคุกกี่ปี คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ โดนโทษจำคุกกี่ปี คดีแก้สัมปทานเอื้อชินคอร์ป โดนโทษจำคุกกี่ปี แล้วออกหมายขัง ส่งตัวเข้าไปรับโทษในเรือนจำตามคำพิพากษา

ส่วนการนับโทษต้องไปดูคำพิพากษาแต่ละคดีว่าศาลสั่งให้นับโทษ “ต่อจากคดีเก่า” หรือไม่ ถ้าไม่สั่งให้นับโทษต่อก็จะนับโทษทับกัน เช่น คดีหวยบนดิน โทษจำคุก 2 ปี ไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อกับคดีอื่น คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ โทษจำคุก 3 ปี ไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อจากคดีอื่น และคดีแก้สัมปทานเอื้อชินคอร์ป โทษจำคุก 5 ปี ไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อจากคดีอื่น

แบบนี้เท่ากับว่า นายทักษิณ จะถูกจำคุกสูงสุดแค่ 5 ปี เพราะคำพิพากษาของศาลไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อจากคดีอื่น แต่ถ้าสั่งนับโทษต่อก็จะถูกจำคุก 7 ปี หรือ 8 ปีแล้วแต่ว่าจะนับโทษต่อจากคดีไหน ถ้านับโทษต่อทุกคดีคือ 10 ปี

ส่วนการลดโทษ-การขอพระราชทานอภัยโทษ จะได้ลดเป็นรายคดี ดังนั้นถ้านายทักษิณ ได้ลดโทษเยอะในคดีเอื้อชินคอร์ป ก็จะได้ออกจากคุกเร็วที่สุด เพราะถูกจำคุกหนักสุดคือ 5 ปี สรุปคือนายทักษิณ โดนโทษจำคุกแค่ 5 ปี เพราะศาลไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อกัน

ขณะที่การอ่านคำพิพากษา หลังตำรวจนำตัวส่งศาล ศาลจะไม่อ่านซ้ำทั้งหมด แต่จะแค่อ่านย่อทวน เพราะองค์คณะผู้พิพากษา อ่านคำพิพากษาลับหลังคดีเหล่านี้โดยชอบตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ที่แก้ไขใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว