เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่โรงแรมเดอะ เดวิส สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงแฉเพื่อชาติ ครั้งสุดท้าย ep.3 ตอกฝาโลงพฤติกรรม นิติกรรมอำพรางของว่าที่นายกตัวสูงๆ นอมินีของใคร? ตั้งนอมินี เป็น รปภ.ชาวมุกดาหาร ซื้อที่ดินย่านสุขุมวิท 12 ราคาพันล้าน พบเงินทอน 675 ล้านบาท ไหลออกไปนอกประเทศ ลั่น เป็นแผนคอร์รัปชันผู้ถือหุ้น

นายชูวิทย์ เผยว่า จะเจอตนในงานแถลงข่าวครั้งสุดท้าย ที่ผ่านมามีการโจมตีตน โดยวันนี้จะทำให้เห็นว่าคนอย่างตน ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ก่อนจะชูเอกสารในมือ เป็นโฉนดที่ดินจำนวน 10,000 ล้านบาท จำนวน 13 ไร่ ใจกลางสุขุมวิท เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้ติดหนี้แบงก์ โฉนดเก็บไว้ โดยโฉนดแปลงที่เป็นต้นเหตุ คือ แปลงที่มีชื่อของ นายเศรษฐา ทวีสิน ท้ายสุดโฉนดแปลงนี้ตกเป็นของตน โดยที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นบ้านดั้งเดิมของนายเศรษฐา เมื่อถูกแบงก์ยึด แบงก์นำมาขายตน ก่อนนำมาซื้อไว้เมื่อปี 2542 โดยทั้งหมดมี 9 โฉนด นายเศรษฐาพยายามซื้อคืน แต่ตนไม่ได้ขาย ก่อนอธิบายว่าที่ดินที่สุขุมวิท 12 เป็นที่ดินเปล่า 2 ไร่เศษ ของบริษัท ศ. (บ.ศิวะแลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทแท้ มีเจ้าของ 4 คน ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท โดยที่ดินติดถนนใหญ่

ต่อมา นายชูวิทย์ กล่าวถึงการโอนที่ดินซึ่งเกิดขึ้นในวันศุกร์ 11 มี.ค. 59 โดยมีบริษัท นอมินีซามัว โดยมีผู้ถือหุ้นหลักคือ บริษัท C. อยู่ที่ฮ่องกง (บริษัท Crown city limited ) ถือหุ้น 48.57% และมีนาย ช. (นายโชคชัย รูปคม) ถือหุ้น 51.43% ซึ่งมีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร

จากนั้น ทีมงานนายชูวิทย์ เป่านกหวีดทำการแสดง เปิดตัว รปภ. ก่อนที่จะพูดว่า เป็น รปภ. หรือเป็นประธานบริษัทไหน ไหนขอเปิดเสื้อแจ๊กเกตดูหน่อย ว่าสรุปแล้วเป็นประธานบริษัทจริงไหม ก่อนที่จะเห็นข้อความที่เสื้อสกรีนข้อความด้านในว่า “นอมินี” และพูดว่า เห็นมั้ยเป็น รปภ. อีกแล้ว ครั้งก่อน รปภ. ก็เป็นนอมินี

จากนั้นนายชูวิทย์อธิบายเพิ่มเติมถึงการทำนิติกรรมในวันศุกร์ที่ 11 มี.ค. 59 ของบริษัท C. ว่ามีการไปปลดจำนองที่ดินในราคา 1,000 ล้านบาท และซื้อหุ้นจากบริษัท ศ. อีก 175 ล้านบาท เท่ากับทุนจดทะเบียน จึงรวมเป็น 1,175 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 11 มีนาคม ยังคงสถานะเป็นบริษัทสัญชาติไทยอยู่

ต่อมาวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 59 ปรากฏว่า บริษัท C. หรือ นอมินีซามัว ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยบริษัท C. กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% และมีนาย พ. (นายพธศลย์ อาริยชัยนันท์) ถือ 1 หุ้น ส่งผลให้ในขณะนี้บริษัทอยู่ในสถานะเป็นบริษัทนอมินีต่างด้าว โดยมีนาย พ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกอย่าง เหมือนกับนาย ส. (นายสมศักดิ์ รปภ. เคสก่อนหน้า)

นอกจากนี้ยังพบว่า บริษัทนอมินีต่างด้าว ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 มีนาคม 59 ได้มีการขายที่ 2 ไร่ ราคาตารางวาละ 565, 000 บาท รวมราคาที่ดิน 499.6 ล้านบาท ให้กับบริษัทลูกของแสนสิริ (บ.พัฒนศิริ) ซึ่งมีบริษัทแสนสิริ ถือหุ้น 99.99% และนายเศรษฐาถือ 1 หุ้น โดยนำไปจำนองที่ดินกับธนาคารแห่งหนึ่งในวงกู้ 2,556 ล้านบาท

จากนั้นนายชูวิทย์ตั้งคำถามว่า ทำได้อย่างไร ในเมื่อบริษัทนอมินีเป็นบริษัทต่างด้าว นั่นก็เพราะเอาหนังสือรับรองของวันศุกร์ (11 มีนาคม 59) ไปใช้ในวันจันทร์ ที่ 14 มีนาคม ให้กรมที่ดินดูเอกสารรับรอง ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ว่ามีนอมินี นาย ช. ที่เป็น รปภ.

จากนั้นนายชูวิทย์ ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทลูกของบริษัทลูกของแสนสิริ (บ.พัฒนศิริ) ซื้อที่ดินมาในราคา 499.46 ล้านบาท แต่กลับพบว่า แสนสิริ ลงบันทึกในงบการเงินว่าต้นทุนค่าที่ดิน อยู่ที่ 1,850 ล้านบาท ซึ่งตรวจสอบโดย บ. EY office Limited ผู้สอบบัญชีระดับโลก เมื่อนำเงินต้นทุนที่ระบุในการเงินบริษัท 1,850 ล้านบาท ลบกับ เงินปลดจำนองที่ดิน 1,000 ล้านบาท คงเหลือ 850 ล้านบาท จากนั้น ลบค่าทุนจดทะเบียนอีก 175 ล้านบาท คงเหลืออีก 675 ล้านบาท จึงตั้งคำถามว่า เงินดังกล่าวหายไปไหน ก่อนอธิบายเพิ่มว่า เงินทอนตรงนี้ถูกโอนไปที่ฮ่องกง ที่บริษัท C. ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นที่ 16 ถนนเฮนเนสซี่ ฮ่องกง

โดยนายชูวิทย์ได้ส่งทีมงานไปตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท C. ปรากฏภาพเป็นบริษัทเช่าห้องแถวอยู่ เป็นเพียงบริษัทผีตั้งไว้หลอกๆ ไว้ ซึ่งยืนยันว่ามันคือ บริษัทนอมินีชัดเจน ทั้งนี้นายชูวิทย์ ระบุว่านี่คือการวางแผนคอร์รัปชันผู้ถือหุ้น

จากนั้น ได้นำแผ่นชาร์ตระบุว่า “Connection Tree” ก่อนอธิบายว่านาย พ. (นายพธศลย์ หรือ สกล) เป็นนอมินีคนสำคัญของขงเบ้ง ซึ่งเป็นคู่เขยของนายเศรษฐา โดยภรรยาของนายเศรษฐา และภรรยาของขงเบ้ง เป็นพี่น้องกัน โดยขงเบ้งมีลูกสาว ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 7 ของแสนสิริ

ส่วน Connection Tree คนที่สาม คือนาย อ. (นายอภิชาติ จูตระกูล) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายเศรษฐา และมีน้าสะใภ้ของนายเศรษฐา และเป็นอาสะใภ้ของนาย อ. เป็นผู้ถือหุ้น 25 % ของบริษัท N. (บ.แนเซอรัล เพลส จำกัด) ที่มีนาย พ.(นายพธศลย์ หรือ สกล) เป็นกรรมการผู้จัดการ อยู่ควบคู่กับบริษัท R. (บ.เรียลตี้ จำกัด) ที่มีขงเบ้ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49.97% ของบริษัทนี้ด้วย

ขณะที่นาย ส. รปภ.เคสก่อนหน้า ที่นายชูวิทย์ระบุว่าเป็นนอมินีในการทำธุรกรรมของเป็นพนักงานของบริษัท รปภ. M. (บ.แม็กซ์ เพาเวอร์ การ์ด จำกัด) มีพี่สาวของขงเบ้ง ถือหุ้นใหญ่อยู่ 33.33% และเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท อ. (บ.อ่อนนุช แลนด์ จำกัด) ที่เป็นเจ้าของถนนในโครงการ T77 ของแสนสิริ โดยนาย ส. เป็นคนเซ็นขอ EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ของคอนโดฯ (Khun by YOO) ก่อนถามว่า แบบนี้คุณเป็นนายกรัฐมนตรีได้ยังไง เพราะการกระทำของคุณ มีการจัดตั้งนอมินีทั้งในและต่างประเทศ และโอนเงิน 675 ล้านบาท เงินทอนตรงนี้ไปไหน

นายชูวิทย์ ได้ส่งเอกสารถึง สส. และ สว. ทั้ง 750 คน เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของนายเศรษฐา กรณีการได้รับการสนับสนุน หรือไม่ได้รับการสนับสนุนก็ได้ แต่ตนมั่นใจว่า ถ้านายเศรษฐาได้เป็นนายกฯ อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ครม. เปลี่ยนใหม่หมด เพราะเรื่องราวที่ตนพูดเกี่ยวพันกับนายเศรษฐา และจะอ้างว่า ไม่รู้จักนาย พ. ไม่ได้ เพราะเป็นนอมินีที่ใกล้ชิดกับขงเบ้ง บุคคลสำคัญอยู่เบื้องหลังนายเศรษฐา.