จากกรณีเมื่อวันที่ 1 ก.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชทานอภัยลดโทษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากทั้งหมด 8 ปี เหลือเพียง 1 ปี เพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ด่วนที่สุด! พระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เหลือจำคุก 1 ปี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ย. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูง ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการพิจารณา “การพักโทษ” ว่า เดิมคดีของ นายทักษิณ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี คือ คดีที่ 1 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี คดีที่ 2 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี (ให้นับโทษสูงสุดแทน) และคดีที่ 3 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม กำหนดโทษจำคุก 5 ปี รวมกำหนดโทษจำคุก 8 ปี

เมื่อมีพระราชทานอภัยลดโทษรวมมาจึงเหลือเพียงปีเดียว เท่ากับนายทักษิณเหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี จากนั้นอาจจะต้องไปดูในเรื่องของระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังและการแยกคุมขัง การเลื่อนหรือลดชั้นนักโทษเด็ดขาด การลดวันต้องโทษจำคุกและการพักการลงโทษ พ.ศ. 2559 แต่แน่นอนว่าในกรณีของนายทักษิณ เนื่องด้วยเดินทางกลับเข้าประเทศไทยในช่วงเกณฑ์ที่ 1 ปี มีการปรับ 3 ครั้ง (สำหรับโทษไม่เกิน 3 ปี) ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ทำให้นายทักษิณ จากที่เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง จึงถูกปรับเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม หากผู้ต้องขังรายใดเข้าเรือนจำฯ ในเดือนกันยายน ก็จะทำให้ต้องไปได้รับการปรับชั้นนักโทษในเดือนธันวาคม

เมื่อถามว่าในกรณีของนายทักษิณนั้น จะได้รับการลดโทษลงอีกในวันสำคัญต่าง ๆ หลังจากนี้หรือไม่ หรือต้องรับโทษจำคุก 1 ปีไม่มีการลดหย่อนตามที่มีพระราชอำนาจเด็ดขาด แหล่งข่าวระบุว่า เรื่องของการพระราชทานอภัยโทษตามวันสำคัญต่างๆ ทั้งวันพ่อหรือวันแม่ เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ ซึ่งไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ว่าในวันสำคัญต่างๆ นั้น จะมีการพระราชทานอภัยโทษหรือพระราชทานอภัยลดโทษหรือไม่ เป็นสิ่งที่มิอาจก้าวล่วงได้

อย่างไรก็ตาม จะมีเรื่องเกณฑ์อายุของผู้ต้องขัง เช่น กรณีเป็นผู้ต้องขังสูงวัย พ่วงด้วยโรคอาการเจ็บป่วย จะมีในส่วนของการได้รับการพิจารณาพักโทษ ซึ่งทางเรือนจำ/ทัณฑสถาน โดยผู้บัญชาการเรือนจำจะดำเนินการตรวจดูเรื่องหลักเกณฑ์ว่าผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นดีรายใดเข้าเกณฑ์พักโทษ และรายงานไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อเสนอคณะกรรมการ พิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ท้ายสุดจึงจะมีการแจ้งให้ผู้ต้องขังรับทราบ

ที่ผ่านมาก็มีบุคคลมีชื่อเสียงหลายรายที่ได้รับการพักโทษและออกมาใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก เพียงแต่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการรายงานตัวต่อกรมคุมประพฤติ เช่น กรณีของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย กรณีของ นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นต้น อีกทั้งบางรายอาจจะมีการติดกำไลอีเอ็มสักระยะ แต่หากคณะกรรมการเห็นว่ามารายงานตัวปกติ ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ก็จะอนุญาตปลดกำไลอีเอ็ม

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ 01-1-1024x577.jpg

แหล่งข่าวอธิบายอีกว่า ถือเป็นเกณฑ์ปกติสำหรับนักโทษเด็ดขาดที่ได้เข้าเกณฑ์การพักโทษ เช่น การเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดี ไม่เคยประพฤติผิดวินัย หรือขณะที่อยู่ในเรือนจำมีความประพฤติดี ซึ่งเรือนจำฯ ก็จะมีการเสนอแจ้งไปยังผู้ต้องขังว่าเข้าเกณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ระหว่างการพักโทษ ผู้ต้องขังจะอยู่พื้นที่ใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะมีเงื่อนไข คือ ห้ามก่อคดี ห้ามกระทำความผิดระหว่างการคุมประพฤติ เช่น ในกรณีของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ช่วงนั้นมีเงื่อนไขห้ามพูดเรื่องการเมือง เป็นต้น

ทำให้ในกรณีของนายทักษิณ ทางคณะกรรมการอาจมีการกำหนดเงื่อนไขเช่นกัน ส่วนเรื่องจำกัดรัศมีกิโลเมตรนั้น แล้วแต่รายบุคคล เพราะบางรายอาจจะถูกเงื่อนไขจำกัดได้แค่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนถ้าจะไปต่างจังหวัดก็ต้องดำเนินการแจ้งขออนุญาต อย่างไรก็ตาม การพักโทษจะเป็นความรับผิดชอบของหน้างานกรมคุมประพฤติ และเมื่อจบกระบวนการพักโทษ จึงค่อยดำเนินการรายงานต่อศาล แล้วเข้าสู่กระบวนการปล่อยตัวตามวันเวลา เพราะถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ 03-1-1024x577.jpg

เมื่อถามถึงเรื่องการนอนพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ รพ.ตำรวจ จะมีกรอบเวลาเป็นอย่างไรได้บ้าง แหล่งข่าวระบุว่า ระหว่างนี้การนอนพักรักษาตัวของนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ จะสั้นหรือยาวอยู่ที่อาการความเจ็บป่วยหนักหรือเจ็บป่วยเบา ซึ่งก็จะต้องได้รับการประเมินวินิจฉัยจากแพทย์ผู้ทำการรักษา หากแพทย์ประเมินว่าจะต้องอยู่รับการรักษาต่อเนื่องก็ต้องอยู่ แต่ถ้าประเมินว่าอาการทุเลาดีขึ้น พิจารณาส่งกลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็สามารถกลับเข้าไปรับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้

แหล่งข่าวยังยืนยันด้วยว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับเข้าประเทศไทย และเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นั้น เจ้าตัวได้ดำเนินการยื่นเอกสารขอทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีทั้งเอกสารคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับรายคดี เอกสารรายงานคุณงามความดี ข้อมูลประวัติการรักษาอาการเจ็บป่วย และหลักฐานอื่นๆ ส่วนตัว แต่ภายหลังการยื่นนั้น อยู่ในกระบวนการตรวจสอบเอกสารของทางเรือนจำฯ กรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม และไปตามลำดับชั้น จึงเป็นห้วงเวลาตามที่สังคมได้เห็นกัน ก่อนปรากฏพระบรมราชวินิจฉัย อภัยลดโทษ ประกาศเป็นพระราชกิจจานุเบกษาดังกล่าว.