เมื่อวันที่ 12 ก.ย. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. เปิดเผยถึงกรณีผู้ต้องกักหลบหนีการควบคุมของเจ้าหน้าที่ว่า หลังเกิดเหตุทาง บก.สืบสวนได้ตั้งชุดติดตามจับกุมโดยใช้เวลาประมาณ 2 วันจึงสามารถจับกุมได้ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ส่วนการดำเนินการ ด้านทางคดีเราได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกล่าวหาผู้ร้องกักคนนี้จำนวน 4 ข้อหา ประกอบด้วยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง , หลบหนีจากการควบคุมของเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง , ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน , และทำให้เสียทรัพย์ อีกทั้งยังมีการดำเนินการทางวินัย ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งออกคำสั่งทางบริหารให้เจ้าหน้าที่สิบเวรคนดังกล่าวมา ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฎิบัติการของบก.สืบสวน ยืนยันเราดำเนินการในทุกมิติทั้งด้านสืบสวนและการบริหาร สำหรับเจ้าหน้าที่คนนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 


สำหรับผู้ต้องกักรายนี้จริงๆแล้วจะต้องถูก ดำเนินคดีในส่วนของโอเวอร์สเตย์ซึ่งมีโทษไม่ได้หนักมาก และระหว่างนำตัวไปส่งศาลในครึ่งวันเช้า ผู้ต้องกักรายนี้เกิดอุบัติเหตุหกล้มที่ศาล และมีคนในศาลเข้ามาช่วยเป็นจำนวนมาก แต่สาเหตุของการล้มจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจนั้นขึ้นอยู่กับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็จะมาไล่ดูแต่ยืนยันว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง แต่จะเป็นการเสแสร้งหรือเปล่าอันนี้อีกเรื่องหนึ่ง และทำให้มีอาการบาดเจ็บในระดับหนึ่ง และหลังจากมีการปรับเรียบร้อยเข้าสู่ขั้นตอนการนำมาจากใบที่สำนักงานสวนพลูแต่ยังไม่ทันเข้าไปในห้องกัก ผู้ต้องกักแสดงตนว่าไม่สามารถลุกขึ้นไปเองได้ โดยมีการร้องขอให้สิลเวรท่านนี้ช่วยเอารถเข็นมาส่ง และขั้นตอนระหว่างการนำรถเข็นก็เป็นช่วงจังหวะที่ผู้ต้องกักฉวยโอกาสขับรถออกไป ส่วนภาพที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งวิ่งตามไปเพื่อสกัดคนนั้นคือสิบเวรคนนั้น


ในเบื้องต้นผู้ต้องหารายสำคัญที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัว โดยก่อนหน้านี้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ประสานมาทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ช่วยติดตามตัวหลังก่อเหตุฉ้อโกงเงินเยียวยาช่วงโควิด-19จำนวน 1 ล้านเยน ซึ่งเชื่อว่ายังมีชาวญี่ปุ่นตกเป็นผู้เสียหายในอีกหลายเมือง มูลค่ากว่า 32 ล้านเยน ซึ่งจากแนวทางการสืบสวนของทางการญี่ปุ่นพบว่าผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย


สำหรับการก่อเหตุหลบหนีจากการสืบสวนพบว่าก่อเหตุเพียงคนเดียวไม่ได้มีคนอื่นมาช่วยในการหลบหนีครั้งนี้ ส่วนการดำเนินคดีก็ต้องรับโทษทั้ง 4 ข้อหาที่ตั้งไว้ก่อนเมื่อพ้นโทษหากไม่มีข้อหาเพิ่มเติมก็จะนำมากักเพื่อผลักดันกับประเทศต่อไป.