จากกรณีไม้พะยูงของกลาง 7 ท่อน มูลค่า 1 ล้านบาท หายไปจากเทศบาลตำบลอิตื้อ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เมื่อต้นเดือน ส.ค.66 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องด้วยการพบเหตุตัดไม้พะยูงขายในโรงเรียนและที่ราชพัสดุจำหน่ายหลายแห่ง โดยทุกแห่งเป็นการตัดไม้พะยูงโดยใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ประเมินราคาขายต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ยังส่อเอื้อประโยชน์ให้บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจตรวจสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการตรวจสอบเชิงลึก กรณีตัดไม้พะยูงในโรงเรียน กำลังดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการตัดไม้พะยูงในโรงเรียนอย่างเข้มข้น ล่าสุด องค์กรอิสระ ป.ป.ช.-ป.ป.ท.-ดีเอสไอ ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบ และสตง. ร่วมสางคดี ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายกิตติภูมิชัย วงศ์สนิท นายอำเภอห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบเชิงลึก กรณีตัดไม้พะยูงในโรงเรียนระดับอำเภอ กล่าวว่า หลังจากได้รับแนวทางการปฏิบัติทำหน้าที่ตรวจสอบดังกล่าว โดยคำสั่งการของนายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ และนายธวัชชัย รอดงาม รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายป่าไม้ ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีตัดไม้พะยูงในโรงเรียนหนองโนวิทยาคม ต.หัวหิน จำนวน 9 ต้น ราคา 104,000 บาท ขณะที่ราคาประเมินตามมาตรฐานกรมป่าไม้ 1,515,750 บาท และโรงเรียนคุรุชุนประสิทธิ์ศิลป์ ต.คำเหมือดแก้ว จำนวน 3 ต้น ราคา 30,000 บาท ขณะที่ราคาประเมินตามมาตรฐานกรมป่าไม้สูงถึง 2,232,000 บาท เนื่องจากขนาดลำต้นสูงใหญ่ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในประเด็นการขออนุญาตตัด ให้อนุญาตตัด การประเมินราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด และพฤติกรรมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทั้งหมด โดยได้สรุปสำนวนจำนวน 500 หน้า ส่งทางจังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา

นายกิตติภูมิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับผลการตรวจสอบกรณีตัดไม้พะยูงทั้ง 2 โรงเรียนนั้น พบว่าพฤติการณ์เป็นไปในลักษณะเดียวกันคือ (1) เกิดเหตุลักลอบตัดไม้พะยูงโรงเรียนบ่อยครั้ง (2) มีเจ้าหน้าที่ธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ และผู้บริหารระดับสูงใน สพป.กาฬสินธ์ เขต 2 เข้ามาแนะนำให้ทำหนังสือขออนุญาตตัดไม้พะยูง (3) มีหนังสือโต้ตอบขออนุญาตตัด และให้อนุญาตตัดระหว่างผู้อำนวยการเขตการศึกษากับธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ (4) มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินราคากลาง ระบุรายชื่อกรรมการ 3 คน คือ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ธนารักษ์ และผู้อำนวยการโรงเรียน (5) มีพ่อค้าซื้อไม้มาทำสัญญาซื้อขาย

“โดยข้อมูลที่พบบุคคลที่เข้ามาเป็นผู้ประสานงานทั้งหมดเป็นบุคคลคนเดียวกัน มีการนัดหมายพบปะพูดคุยหว่านล้อม กดดัน ด้วยสายบังคับบัญชา เพื่อให้มีการขออนุญาตตัดไม้พะยูงขาย จากนั้นหานอมินีมาเป็นผู้ประสานงาน วางแผน เมื่อตกลงซื้อขายตามแผนการ จากนั้นมีนายหน้าเข้ามาวางเงิน มีพ่อค้ามาทำสัญญาซื้อขาย เป็นอันเข้าใจว่าทำการตัดและซื้อขายไม้พะยูงอย่างถูกต้อง เนื่องจากมีทั้งเจ้าหน้าภาครัฐที่เกี่ยวข้องรับรอง เรื่องที่เกิดขึ้นจึงมีไทม์ไลน์ลักษณะเดียวกันทุกโรงเรียนที่มีการตัดไม้พะยูงขาย” นายกิตติภูมิชัย กล่าว

โดยสำนวนที่คณะกรรมการตรวจสอบเชิงลึกสรุปออกมาสอดคล้องกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ชุดรวบรวมและตรวจสอบข่าว กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งระบุว่าต้นเหตุของการการตัดไม้พะยูงในโรงเรียนและในที่ราชพัสดุนั้นทำเป็นขบวนการโดยฝีมือ “แก๊ง 3 เซียน” คือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ธนารักษ์ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้บางคนที่ใช้ช่องว่างทางกฎหมายและใช้อำนาจสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น หากเกิดเหตุคนร้ายลักลอบไม้พะยูง ครูเวร ต้องถูกสอบวินัยร้ายแรง และคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้นำชุมชน ต้องเสี่ยงเกิดอันตรายในการป้องกันรักษา เนื่องจากแก๊งมอดไม้มีอาวุธปืน ซึ่งเป็นอุบายของขบวนการตัดไม้ในโรงเรียนจึงต้องมีการประชุมเพื่อขออนุญาตตัด จากการตรวจสอบระยะเวลาการขออนุญาตและให้อนุญาตตัดพบว่ารวบรัดเวลามาก ทุกขั้นตอนดำเนินการแล้วเสร็จภายในเวลาไม่กี่วัน

เช่น ที่โรงเรียนหนองโนวิทยาคม ระบุในเอกสารเริ่มต้น หลังเกิดเหตุคนร้ายลักลอบตัด วันที่ 30 มี.ค.66 มีการประชุมของกรรมการสถานศึกษา แจ้งความจำนงต้องการตัดไม้พะยูง, วันที่ 3 เม.ย.66 ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองโนวิทยาคม ได้ทำหนังสือขออนุญาตไปที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) กาฬสินธุ์ เขต 2 เพื่อขออนุญาตตัดไม้พะยูง, วันที่ 11 เม.ย.66 ได้รับการอนุญาตให้ตัด โดยธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ธนารักษ์เป็น 1 ใน 3 กรรมการประเมินราคา, วันที่ 12 เม.ย.66 มีการรายงานผลการประเมินราคา พร้อมทำสัญญาซื้อขาย จ่ายเงินปรากฏตามใบเสร็จรับเงิน เล่มที่ 26 ก 25901 เลขที่ 14 เป็นใบเสร็จราชการของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขต 2 ได้รับเงินระบุรายการรับเงินค่าขายไม้พะยูง 9 ต้น เป็นจำนวนเงิน 104,000 บาท และวันที่ 15 เม.ย.66 พ่อค้าซื้อไม้ก็นำรถบรรทุกพร้อมเลื่อยยนต์เข้ามาตัดไม้พะยูงไป

ขณะที่โรงเรียนคุรุชนประสิทธิ์ศิลป์นั้น หลังจากเกิดเหตุคนร้ายลักลอบตัด วันที่ 31 ม.ค.66 ทางโรงเรียนได้ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อขอมติอนุมัติตัดต้นไม้พะยูง, วันที่ 24 ก.พ.66 โรงเรียนส่งหนังสือถึงธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ เรื่องขออนุญาตตัดต้นไม้พะยูง, วันที่ 27 ก.พ.66 โรงเรียนส่งหนังสือถึงผู้อำนวยการ สพป.กาฬสินธุ์ เขต 2 เรื่องขออนุญาตตัดต้นไม้พะยูง จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ เข้ามาประเมินราคาต้นไม้พะยูง โดยครูยืนยันทำตามคำแนะนำของผู้อำนวยการ สพป.กาฬสินธุ์ เขต 2 ซึ่งการประเมินราคาเกิดขึ้นระหว่าง สพป.กาฬสินธุ์กับธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ ก่อนที่จะมีพ่อค้าเข้ามาตัดต้นไม้พะยูง ในวันที่ 1 มี.ค.66 โดยเอกสารการประเมินราคา การอนุญาต และได้นำใบเสร็จจ่ายเงิน 3 ต้น จำนวนเงิน 30,000 บาท อยู่ในวันเดียวกัน

ทั้งนี้ไทม์ไลน์ทั้งหมด ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูรวมทั้งคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้นำชุมชน ให้การตรงกันโดยยืนยันถูก “แก๊ง 3 เซียน” สร้างสถานการณ์ กดดัน มัดมือชก จึงเกิดเหตุการณ์ขออนุญาตตัดไม้พะยูงดังกล่าว ซึ่งทางฝ่ายตรวจสอบจะได้กันตัวเป็นพยาน โดยไม้พะยูงในโรงเรียน จ.กาฬสินธุ์ ถูกตัดไปไม่น้อยกว่า 60 ต้น ภาครัฐเสียหายกว่า 7.6 ล้านบาท ดังกล่าว อย่างไรก็ตามในส่วนสำนวนการตรวจสอบเชิงลึกของโรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี และโรงเรียนหนองแวงบ่อแก้ว อ.ยางตลาด อยู่ในระหว่างรวบรวมของคณะกรรมการตรวจสอบระดับอำเภอ

เรื่องที่เกิดขึ้น ชาวบ้านและเครือข่ายอนุรักษ์ไม้พะยูงยังเสนอให้ “นายกเศรษฐา” ใช้ “กาฬสินธุ์โมเดล” ขยายผลตรวจสอบย้อนหลัง เพื่อหยุดยั้งการใช้ช่องโหว่กฎหมายตัดไม้พะยูงและไม้มีค่าในพื้นที่ราชพัสดุ ของภาคอีสานและทั่วประเทศ