เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายวานว่า ที่บ้านเลขที่ 1 หมู่ที่ 7 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของนายจิตพงษ์ พีรพัฒนกัมพล อายุ 50 ปี อดีตหนุ่มรัฐศาสตร์ ที่ได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ หันมาทำโรงเรือนจำนวน 4 โรงเรือน โดย 2 โรงเรือนแรก ปลูกเมล่อน 2 สายคือพันธุ์ไทย เนื้อสีเขียวจำนวน 100 ต้น และพันธุ์ญี่ปุ่นเนื้อสีส้ม จำนวน 100 ต้น ใช้เวลาปลูกตั้งแต่ 38-50 วัน ก็สามารถเก็บขายได้ในราคากิโลกรัมละ 150 บาท ซึ่งแต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 1.50-2.00 กิโลกรัม โดยปลูกเมล่อนปีละ 2 รุ่น ๆ ละประมาณ 200 ลูก ปรากฏว่าถูกจองซื้อจนหมดเกลี้ยง โดยขายทั้งหน้าร้านและผ่านช่องทางออนไลน์

นอกจากนี้ ยังได้ปลูกมะเขือเทศพันธุ์โซราริโน่ ซึ่งเป็นมะเขือเทศกินผลสด สีแดงเข้ม ให้รสชาติหวาน หอม กรอบ อร่อย ไว้อีก 2 โรงเรือน ใช้เวลาปลูกประมาณ 80 วันก็เก็บมะเขือเทศขายได้ในราคากิโลกรัมละ 300 บาท ซึ่งแต่ละรุ่นสามารถเก็บมะเขือเทศขายได้ไม่ต่ำกว่า 200 กิโลกรัม สร้างรายได้ทั้งเมล่อนและมะเขือเทศรุ่นละกว่า 100,000 บาท รวม 2 รุ่นทำเงินกว่า 200,000 บาท

นายจิตพงษ์ กล่าวว่า ตนปลูกเมล่อนอยู่ 2 สายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ไทยและสายพันธุ์ญี่ปุ่น พันธุ์ไทยเนื้อกรอบ มีสีส้ม พันธุ์ญี่ปุ่น เนื้อจะนุ่ม อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 48-50 วัน ส่วนเนื้อสีส้มอายุ 38-40 วัน ราคาขายกิโลกรัมละ 150 บาท ผลตอบรับดีและปีหนึ่งตนปลูกแค่ 2 รอบ ๆ ละประมาณ 100 ลูก ถูกจองจนหมดเกลี้ยง ส่วนมะเขือเทศปลูกพันธุ์โซราริโน่ ใช้เวลาปลูกประมาณ 80 วัน ราคากิโลกรัมละ 300 บาท ผลตอบดีโดยเฉพาะตลาดคนรักสุขภาพ ยอมรับราคาตึงไปนิด เพราะเน้นเรื่องความปลอดภัยในการดูแลรักษา ไม่ใช้สารเคมีในการฆ่าเชื้อรา ฆ่าโรคต่างๆ ทำให้แต่ละรุ่นได้ผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 200 กิโลกรัม

ล่าสุดได้ส่งขายในห้างสรรพสินค้าทั้งใน จ.ตรังและกรุงเทพฯ จนต้องมีการจองคิวซื้อกันล่วงหน้าแบบรุ่นต่อรุ่นกันเลยทีเดียว เนื่องจากลูกค้ามีความเชื่อมั่นว่า เป็นแปลงปลูกที่ปลอดภัยจากการใช้สารเคมี 100% สามารถเก็บกินผลสดกันได้ถึงในสวน โดยเกษตรกรมีการปลูกที่จำกัดจำนวน เพื่อป้องกันโรคและแมลงในระยะยาว โดยปลูกมาแล้ว 10 ปีผลตอบรับแต่ละรุ่นดีเกินคาด จนผลิตแทบไม่ทันกับความต้องการของตลาด ซึ่งเกษตรกรกำลังหาเพื่อนร่วมอาชีพ ให้หันมาปลูกเมล่อนและมะเขือเทศกินผลสดมากขึ้น เนื่องจากยังมีความต้องการของตลาดอีกมาก แต่มีผลผลิตไม่เพียงพอ โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มคนรักสุขภาพ ส่วนใครสนใจอยากจะติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเฟซบุ๊ก “คอปเตอร์ฟาร์ม ตรัง”