เมื่อวันที่ 9 ต.ค. นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า จากกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2443/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1855/2563 ซึ่งเป็นคดีที่นางสุภา โชติงาม ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ในฐานะผู้ฟ้องคดีฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กับผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลปกครองฯ ให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องกำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าวนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ตำรวจและประชาชนมีข้อสงสัย เนื่องจาก ประกาศทั้ง 2 ฉบับนี้ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา แม้การลงโทษผู้กระทำความผิดได้จะต้องปราศจากข้อสงสัย แต่ปรากฏว่ารูปแบบใบสั่งที่กำหนดขึ้นใหม่ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ได้ตัดสาระสำคัญในส่วนของการปฏิเสธการกระทำความผิดตามใบสั่ง บันทึกของผู้ต้องหา และบันทึกของพนักงานสอบสวน กำหนดแค่วิธีชำระค่าปรับด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่าตัวเองต้องชำระค่าปรับเท่านั้น ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญทางอาญา และขัดต่อมาตรา 26 และมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการออกกฎที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับการพิจารณาโทษตามข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์แห่งการกระทำ

นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การที่ตร.และผบ.ตร.มีการเสนอกฎหมายเชื่อมโยงการชำระค่าปรับกับการชำระภาษีรถประจำปี โดยหากเจ้าของรถไม่ชำระค่าปรับ เมื่อไปชำระภาษีประจำปีจะได้รับเพียงเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีชั่วคราว 30 วัน เมื่อพ้น 30 วัน หากไม่ชำระค่าปรับและนำรถไปใช้ ก็จะมีความผิดฐานใช้รถที่ไม่ติดเครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้ โดยหลักการการชำระภาษีรถเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวรถ แต่การกระทำผิดจราจรเป็นเรื่องของบุคคล การนำ 2 เรื่องมาเชื่อมโยงกันจึงไม่ถูกต้อง และเป็นการบังคับทางอ้อมให้เจ้าของรถต้องยินยอมชำระค่าปรับ อีกทั้ง ตร.ได้ออกประกาศ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ซึ่งมีสาระสำคัญกำหนดค่าปรับจำนวนแน่นอน จึงเป็นการตัดอำนาจดุลพินิจของเจ้าพนักงานจราจรที่จะพิจารณากำหนดค่าปรับให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด ต้องเปรียบเทียบปรับตามอัตราที่ประกาศกำหนดเท่านั้น จึงขัดต่อความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ที่มีเจตนารมณ์ เพื่อควบคุมกำกับการใช้รถให้เกิดความปลอดภัย ส่งเสริมวินัยจราจร และให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดตามพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดด้วยความเสมอภาค

“ผมจึงอยากทราบว่าหลังจากศาลปกครองฯ มีคำพิพากษานี้แล้ว ตร.จะดำเนินการอย่างไร และประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในฐานะผู้เสียหายโดยตรง จะต้องดำเนินการอย่างไร หากมีใบสั่งจราจรที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่ ยังต้องชำระหรือไม่ อย่างไร แล้วหากประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนยังต้องชำระหรือไม่ แล้วที่ชำระไปแล้วต้องทำอย่างไร ซึ่งคำพิพากษาได้ให้มีผลไปตั้งแต่ปี 2563 นี่เป็นสิ่งที่ประชาชนสงสัย นอกจากนี้ตร.มีแนวทางป้องกันและจัดการเรื่องนี้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลตร. จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร รวมถึงจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มีการออกกฎเกณฑ์ คำสั่งต่างๆ ที่กระทบต่อประชาชน แต่สุดท้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย” นายชัยชนะ กล่าว.