เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 14 ต.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปพบกับนายสุพล นิชำนาญ หรือหลอด อายุ 39 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ชาว อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ที่หนีเอาตัวรอดไปอยู่ที่สนามบินในอิสราเอล และเดินทางกลับบ้านที่ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เดินทางถึงบ้าน ที่ จ.ขอนแก่น เป็นที่เรียบร้อย โดยมี นางเจนจิรา พรหมหล้า อายุ 38 ปี ภรรยาและลูกทั้ง 4 คน และญาติพี่น้อง ทยอยเดินทางมาเยี่ยมและผูกข้อมือรับขวัญอย่างไม่ขาดสาย

นายสุพล กล่าวว่า ก่อนตัดสินใจไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ได้ศึกษาสถานการณ์ในอิสราเอลว่า เคยเกิดการสู้รบ แต่ภาพที่เคยเห็นคือ การสู้รบทางอากาศ ไม่เห็นเหตุการณ์ทางภาคพื้นดิน และค่าจ้างที่เป็นค่าแรงก็มีส่วนดึงดูดใจให้ไปทำงาน จึงตัดสินใจไป โดยกู้หนี้ไปทั้งหมดเกือบ 200,000 บาท ทำเรื่องไปอย่างถูกต้อง และมีสัญญาการจ้างงาน 5 ปี 3 เดือน จนได้เดินทางไปทำงานในสวนเกษตร ปลูกมะเขือเทศ ได้เงินเดือนเดือนละ 60,000 บาท ความเป็นอยู่ก็ใช้ได้ ซึ่งจุดที่เป็นสวนเกษตร และแคมป์ที่พักคนงาน อยู่ห่างจากฉนวนกาซา ประมาณ 3 กม.

“วันเกิดความรุนแรงหนักคือวันที่ 7-9 ต.ค. โดยเช้าวันที่ 7 ต.ค. นั้น เริ่มจากการยิงจรวดและทิ้งระเบิดจากบนฟ้า ช่วงสายก็มีกลุ่มฮามาสเดินเท้าในภาคพื้นดิน จับตัวแรงงานไทยไปเป็นตัวประกัน และฆ่าแรงงานไทย ขณะนั้นผมได้หลบอยู่ในป่ามะเขือเทศจนค่ำ จึงมีทหารอิสราเอลมาขับไล่กลุ่มฮามาสออกนอกพื้นที่ และทหารอิสราเอลก็มาช่วยเหลือแรงงานไทยออกมาได้หลายคน จากนั้นกลุ่มทหารพาไปอยู่ในพื้นที่เบนกามา แต่อยู่ได้ไม่นาน ทหารก็มาบอกว่า ไม่ปลอดภัย จะพาไปอยู่ที่พื้นที่ทูฟา พื้นที่ทางภาคเหนือ จึงเดินทางออกไปกับเพื่อนคนไทยรวม 6 คน ไปอยู่ที่ทูฟา และถูกส่งตัวไปทำงานในสวนเกษตร ปลูกแตงกวา” นายสุพล กล่าว

นายสุพล กล่าวต่ออีกว่า ทำงานในสวนแตงกวาก็ไม่สบายใจ เพราะการสู้รบเข้ามาในพื้นที่ภาคเหนือแล้ว มีเสียงปืน เสียงระเบิดตลอดเวลา แรงงานไทยทุกคนจึงพยายามติดต่อกับญาติพี่น้องและติดต่อกับสถานทูตไทยและทางการไทยตลอดเวลา เพื่อลงชื่อกลับบ้าน  จนได้รับการติดต่อกลับจากทางสถานทูตว่า จะมีเครื่องบินไปรับแรงงานไทย จำนวน 2 คน ในวันที่ 18 ต.ค. นี้ ก็สรุปได้ว่าแรงงานไทย จะได้กลับบ้านเพียง 2 คน อีก 4 คน น่าจะรออีกนาน

“ความปลอดภัยไม่มีใครรับรองได้ การสู้รบขยับเข้ามาใกล้ตลอดเวลา จึงบอกนายจ้างว่า หากทางการไทยมารับ ก็ต้องเดินทางกลับ และถ้ามีทางที่จะสามารถกลับไทยได้ ก็จะพากันออกไปทันที นายจ้างก็บอกว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ให้ออกไป จึงตัดสินใจจ้างรถแท็กซี่ไปส่งที่สนามบิน เพื่อหาซื้อตั๋วกลับประเทศไทย โดยภรรยาโอนเงินให้ เมื่อได้ตั๋วก็ขึ้นเครื่องบิน กลับมาที่ประเทศไทยทันที จากนั้นก็นั่งรถรับจ้างมาที่หมอชิต 2 ซื้อตั๋วรถทัวร์เดินทางกลับมาที่บ้านที่ อ.ชุมแพ ทันที เพื่อกลับมาหาลูกเมียที่บ้าน โดยเฉพาะลูกชายคนเล็ก วัย 7 เดือน ที่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย” นายสุพล กล่าว

นายสุพล กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เท่าที่ทราบจากข่าวสารในอิสราเอลทราบว่า คนที่เป็นแรงงานไทยชายถูกจับไป ถ้าขัดขืนจะถูกฆ่าทิ้ง ส่วนผู้หญิงจะถูกทรมานและถูกข่มขืน และกักขังแยกกัน ขณะที่นางณัฐฐาวรี มูลกัน อายุ 35 ปี หรือน้องโย แรงงานหญิงชาวไทยที่ถูกจับตัวไปพร้อมแฟนนั้น ก็เป็นแรงงานไทยที่พักในแคมป์เดียวกัน ในวันที่ถูกจับตัวไป ทั้งคู่จะออกไปทำงานพิเศษ แล้วไปเจอกลุ่มฮามาสที่มาภาคพื้นดิน จับตัวไป ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ทราบชะตากรรม ว่าเป็นอย่างไร จึงอยากฝากบอกแรงงานไทยในอิสราเอลว่า สถานการณ์รุนแรง ควรกลับมาบ้านเราก่อน เพราะถ้าเสียชีวิตมันไม่คุ้ม

“โดยส่วนตัวจะไม่กลับไปอิสราเอลอีก แต่ก็ยังไม่ทิ้งความตั้งใจ ยังจะไปทำงานต่างประเทศเช่นเดิม เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและใช้หนี้ ตอนนี้ได้กำลังใจจากครอบครัวญาติพี่น้อง ก็จะอยู่กับครอบครัวก่อน ยังไม่คิดจะไปทำงาน ส่วนการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการที่จะถือติดตัวไปด้วยคือ เครื่องรางของขลัง ที่เชื่อว่าจะคุ้มครองให้ตัวเองปลอดภัย ตนเองก็เช่นกัน พี่ชายได้มอบหลวงปู่ทวดให้ติดตัวไป และคิดว่า หลวงปู่ทวด มีส่วนช่วยให้ตนเองปลอดภัยกลับมาหาลูกเมียได้” นายสุพล กล่าว

นายสุพล กล่าวต่ออีกว่า จากประสบการณ์การทำงานในอิสราเอลมา 8 เดือน จะเห็นชาวอาหรับผู้ชาย มาในคราบของพ่อค้า สามารถพูดภาษาไทยได้ สื่อสารเป็นภาษาไทยรู้เรื่อง เหมือนแขกขายโรตีบ้านเรา ซึ่งในเรื่องนี้เคยคุยกัน และมองว่าอาจจะเป็นกลุ่มฮามาสปลอมตัวมา เพื่อสืบค้นข้อมูลในแต่ละแคมป์ ซึ่งมีคนไทยทำงานเป็นจำนวนมาก กระทั่งมีเหตุการณ์รุนแรง และแรงงานไทยก็ถูกกลุ่มฮามาสฆ่าตายจำนวนมาก สาเหตุที่กลุ่มฮามาสฆ่าคนไทย อาจจะมีสาเหตุ ซึ่งมีการพูดคุยในกลุ่มแรงงานว่า คนไทยอาจจะมาแย่งงานคนอาหรับ เพราะจะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่มีแต่คนไทยมาทำงาน แต่ก็ไม่ขอยืนยันในเรื่องนี้ เพราะเป็นเพียงเรื่องเล่าในกลุ่มแรงงานไทย เท่านั้น