เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สังคมไทยยังคงพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากการเสียชีวิตของ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล เจ้าของเพจสู้ดิวะ อาจารย์แพทย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่ได้โพสต์เรื่องราวของตน ที่กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 ในวัย 28 ปี แม้จะไม่ใช่คนสูบบุหรี่และชอบออกกำลังกาย แต่กลับเจอฝุ่นพิษทำร้าย จนเป็นที่พูดถึงไปทั่วสังคมไทย ที่ต่างหันมาตื่นตัวเกี่ยวกับการป่วย “มะเร็ง” กันมากขึ้นนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดังเจ้าของแฟนเพจ หมอแล็บแพนด้า ได้โพสต์ภาพเอกซเรย์ปอดของหมอกฤตไท พร้อมระบุข้อความว่า “ภาพนี้เป็นภาพปอดของคุณหมอกฤตไท ที่ปอดข้างขวาหายไปครึ่งนึง” จำได้มั้ยครับ หมอเคยโพสต์เตือนเรื่องมลพิษทางอากาศ และ PM 2.5 ซึ่งตอนนั้นหมอเคยตั้งคำถามเรื่องอากาศที่เราหายใจเข้าไปว่าไม่มีจัดลำดับความสำคัญ หรือให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดของ PM2.5 อย่างจริงจังมากพอ ต้องมีหน่วยงานขึ้นมาเพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ คนเก่งๆ ในประเทศเรามีเยอะแยะ งบประมาณเราก็มี นักการเมืองก็มี นักวิชาการก็มี

แต่ประเทศไทยก็ยังติดอันดับปัญหาฝุ่นในระดับโลกติดต่อมาหลายปี ยังไม่เห็นความชัดเจนในการหาต้นตอของปัญหาและลงลึกถึงสาเหตุและแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่น PM2.5 เพื่อแก้รากเหง้าปัญหาอย่างตรงจุดและยั่งยืน หมอแกเคยว่าไว้แบบนี้

วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมเหมือนเดิมครับ พอเช้าขึ้นมาหลายคนยังโพสต์ภาพฝุ่นหนาอย่างกะหมอก เราทุกคนรู้ว่าฝุ่นพิษ PM 2.5 มันคือฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน มีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก ซึ่งอยู่คู่กับประเทศไทยมาหลายปี และมันจะมาเป็นฤดูกาล ตั้งแต่หน้าหนาวยาวข้ามปีไปหน้าร้อน

ความร้ายกาจของ PM 2.5 คือ มันไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ดันเอาเพื่อนอย่าง สารปรอท แคดเมียม โลหะหนักอื่นๆ และพวกสารก่อมะเร็งอีกมากมายติดมาด้วย PM 2.5 สามารถทำให้เราเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดได้จริง ซ้ำร้ายยังสามารถเหนี่ยวนำให้เป็นมะเร็งชนิดอื่นๆได้อีกด้วยนะครับ

ป้องกันตัวเองไว้ก่อนดีสุดนะครับ เพราะตอนนี้ปัญหาฝุ่นยังคงมีอยู่ พอถึงจุดที่เราป่วยเข้าจริงๆ เงินทองอะไรทั้งหลายก็ไม่มีค่า การได้มีชีวิต ใช้ชีวิต และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มันคือดีที่สุดแล้ว “ตอนนี้ยังเป็นคำถามอยู่ว่า ถึงเวลาที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังแล้วหรือยัง”..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @หมอแล็บแพนด้า