ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในช่วงเย็นวันที่ 3 ม.ค. 67 สส. อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเวลา 17.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภา โดยเน้นย้ำถึงแผนงานของรัฐบาลในด้านการต่างประเทศ ว่ามีหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์และมีหลายเรื่องที่ ตนอยากจะขอขยายความเรื่องของเอฟทีเอ หรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่กับอียูหรือกับประเทศอังกฤษ เราจะทำมากขึ้น

โดยมีการตั้งงบประมาณเผื่อไว้เรียบร้อยแล้ว เราเข้าใจว่าเรื่องที่หลายคนบอกว่า ที่ตนเดินทางไปทั่วโลก ประเด็นสำคัญที่เขาจะมาตั้งโรงงานผลิตใหญ่ๆ เพื่อการส่งออก โดยเรื่องเอฟทีเอเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นเรื่องที่เราล้าหลังประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ซึ่งเรื่องนี้เราตระหนักดีและเป็นประเด็นที่มีความเสี่ยงว่าถ้าเราไม่เร่งทำ ไม่เร่งเจรจาให้บรรลุผล เขาก็มีสิทธิที่จะย้ายฐานการผลิต ไม่ใช่เรื่องของค่าแรงที่เขาย้าย ถ้าเขาจะย้ายเพราะว่าเรามีความคืบหน้าน้อยมากในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา ในการเจรจาเรื่องเอฟทีเอ ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ มีแผนงานที่ชัดเจน และพยายามทำให้ได้โดยรวดเร็วที่สุด

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องจุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งปัจจุบันมีความเปราะบางอย่างสูง ประเทศไทยชัดเจน เรามีจุดยืนความเป็นกลางและภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชของประเทศไทย หลายเรื่องต่างๆ ที่มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอิสราเอลและฮามาส ที่เราเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทำร้าย แต่เราใช้การพูดคุยการเจรจาที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย โดยมีจุดยืนเรื่องความเป็นกลางและอาศัยความสัมพันธ์ทางการที่ดีกับประเทศ

ตนได้พบกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งได้พบปะในหลายเวทีและมีความสนิทสนมกัน ตนได้ขอร้องให้ท่านช่วยดูแลเรื่องตัวประกันอีก 8 คน ที่ยังไม่ออกมา และจะต้องเฝ้าระวังว่าเมื่อไหร่ที่มีการหยุดยิง เราจะมีการรุกการเจรจาและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ เราทุกคน

“การเดินทางไปต่างประเทศ ผมเชื่อว่าเป็นที่ประจักษ์ ว่าเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย ให้มีการจ้างงานที่เกิดขึ้นและยกระดับรายได้ของประชาชนคนไทยทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเองเรายังทำต่อไป และทำมาแล้ว 100 กว่าวันในหลายเคส ก็ประสบความสำเร็จ แต่ยังมีความเปราะบางและความเสี่ยงต้องติดตามงานอย่างใกล้ชิด เพราะไม่ได้แข่งขันกับตัวเราเอง เราแข่งขันกับเพื่อนบ้าน เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลนี้จะเดินหน้าต่อไปมุ่งมั่นในการนำบริษัทข้ามชาติที่มีศักยภาพในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคนอย่างต่อเนื่อง”

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องของเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรา มีเขตชายแดนติดต่อกับเรา ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับไทย และปัจจุบันเขาประสบปัญหา โดยนายปานปรีย์ ได้มีการเข้าไปพูดคุยและมีการตกลงกัน โดยความเห็นชอบจากเมมเบอร์ของอาเซียนว่า เราจะต้องตั้งคณะกรรมการด้านสิทธิมนุยชนเพื่อดูแลกลุ่มผู้เปราะบาง ให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยที่ประเทศไทยจะเป็นผู้นำในการเจรจาในด้านนี้

ขณะที่พื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา ซึ่งเป็นขุมทรัพย์พลังงานมูลค่าหลายแสนล้านบาทนั้น รัฐบาลได้เตรียมเจรจากับ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่จะเดินทางมาประเทศไทยในวันที่ 7 ก.พ. 67 ก็ควรที่จะพูดคุยและตกลงกันได้ เพื่อจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ดีมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีรายจ่ายที่ลดลง ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ.