เมื่อวันที่ 22 ม.ค. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำกำลังเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ร่วมกับอุทยานแห่งชาติเขาค้อ และอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนธิกำลังกันที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ ทับเบิก เพื่อรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของรีสอร์ทที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของอุทยานฯ ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 1 ไร่ โดยจุดดังกล่าวนี้ เคยเป็นคดีความเมื่อปี 2560 โดยศาลมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 เดือน และได้รอลงอาญาไว้ แต่จำเลยกลับมาบุกรุกซ้ำอีก ซึ่งคดีถือเป็นที่สิ้นสุดแล้ว แจ้งให้รื้อถอนแล้ว แต่กลับไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้อำนาจตามกฎหมาย เข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว

โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงบริเวณปากทางขึ้นรีสอร์ท หมู่ 8 บ้านน้ำเพียงดิน ต.บ้านเนิน อ.หล่มเก่า พบว่ามีชาวบ้านซึ่งเป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้งราว 40 คน ได้นำรถกระบะและรถไถ มาทำการปิดกั้นถนนทางขึ้นรีสอร์ท ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปรื้อถอน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้พยายามขอขึ้นไปชี้แนวเขตอุทยานฯ แต่ทางชาวบ้านก็ไม่ยอม อ้างว่าเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และถูกเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้ง พร้อมกับขอหมายจากศาลในการรื้อถอน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้อธิบายว่า จุดดังกล่าวคดีสิ้นสุดและศาลมีคำพิพากษาแล้ว

นายชัยวัฒน์ ได้เข้าเจรจาพูดคุย พร้อมนำคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. 2560 ที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว อ่านให้กลุ่มชาวบ้านฟัง ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าว ได้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว และได้มีการรื้อถอนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ชาวบ้านไม่ยอม ต้องใช้ความพยายามในการเจรจาแบบละมุนละม่อมเป็นระยะเวลาตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจดเย็น ซึ่งกำลังเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานฯ ก็ได้มีการจัดแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด โดยชุดแรกอยู่ด้านหน้า ส่วนชุดที่สองอ้อมขึ้นไปทางด้านหลัง ในขณะที่ชาวบ้าน ก็แบ่งกำลังไปต่อต้านทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช่นเดียวกัน ทำให้สถานการณ์ดูตึงเครียด แต่ก็ไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น

นายปิยวัฒน์ แซ่เถา กล่าวว่า แปลงที่ถูกดำเนินคดีเมื่อปี 2560 นั้น เป็นของรายอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นที่ของตนเลย ส่วนแปลงที่ถูกจับเมื่อปีที่แล้วนั้น เป็นแปลงของตนได้ให้แฟนเป็นคนทำ ซึ่งตอนนี้คดีอยู่ในชั้นอัยการ ยังไม่ได้ส่งฟ้องศาล ตนได้ร้องขอไปทางอุทยานฯ ว่า ถ้ายังไงก็รอให้ศาลเขาตัดสินก่อนว่าผิดหรือไม่ ถ้าศาลยืนยันว่าบุกรุกเขตอุทยานฯ ตนก็จะถอยออกมาและรื้อออกให้ เพราะตั้งแต่อุทยานฯ ประกาศเมื่อปี 2555 ทางเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีหนังสือมาแจ้ง หรือมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งเลยว่าที่ดินของตนอยู่ในเขตอุทยานฯ เพราะฉะนั้นตนจึงไม่ยอมรับว่า ที่ดินบริเวณนี้เป็นเขตอุทยานฯ ตนก็ทำกินทำการเกษตรเรื่อยมา แต่ก็จะมีการพักเป็นบางปี พักปีสองปี แล้วก็มาถางและก็มาทำใหม่ กระทั่งปี 2562 ก็ได้มาเปลี่ยนอาชีพจากการเกษตร มาทำเป็นที่พักโฮมสเตย์ ให้ลูกค้าได้เข้าพักเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว จนกระทั่งปัจจุบัน

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็น เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ได้ถอนกำลังกลับไปที่ตั้ง โดยสามารถทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้บางส่วน และคาดว่าน่าจะมีการหารือในแนวทางเพื่อดำเนินการเข้ารื้อถอนอีกครั้ง