เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 ก.พ. พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 พ.ต.อ.ธีรชัย เด็ดขาด รอง ผบก.น.9 พ.ต.อ.เลิศศักดิ์ เขียมทรัพย์ ผกก.สน.ท่าข้าม สั่งการให้ พ.ต.ท.ธนกร จันรอด รอง ผกก สส.สน.ท่าข้าม พ.ต.ท.ไกรฤกษ์ สิทธิโชติ สว.สส. ร.ต.อ.นิรันดร์ เมืองใจ นำกำลังฝ่ายสืบสวน สน.ท่าข้าม จับกุมนายวสุหรือแด๊ป อำไพจิตร อายุ 52 ปี ชาว จ.สมุทรสงคราม และนายสมพรหรือบอย ลิขิตกาญจน์ อายุ 48 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช โดยทั้งสองเป็นผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ หรือรับของโจร จับกุมได้ที่บ้านพักไม่มีเลขที่ริมทางรถไฟ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ พร้อมด้วยของกลางหลายรายการ อาทิ โทรทัศน์ ยี่ห้อฟิลิปส์ จำนวน 1 เครื่อง, โทรทัศน์ ยี่ห้อ โพลีตอน จำนวน 1 เครื่อง,รถจยย. ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น สเปซี่-ไอ ป้ายทะเบียน 1กฉ 141 พิษณุโลก (ที่ใช้มาก่อเหตุ) และชุดเสื้อผ้า-กางเกงที่ใส่ขณะก่อเหตุ

การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 09.21 น.ที่ผ่านมา มีผู้เสียหาย คือ น.ส.ชุลีพร ใจช่วง อายุ 30 ปี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ว่า เวลาประมาณ 04.00 น. ผู้เสียหายได้วางโทรทัศน์ 2 เครื่องไว้ข้างบ้าน และต่อมาได้ถูกค้นร้ายลักไป ต่อมาจึงมาแจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจสืบสวน สน.ท่าข้าม จึงลงพื้นที่ตรวจสอบ

กระทั่งเวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่ามีชายไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง จำนวน 2 คน มาลักเอาโทรทัศน์ไป โดยคนที่ 1 มีลักษณะ รูปพรรณสันฐาน ตัวท่วมใหญ่ ผิวแทน ลักษณะการแต่งการ สวมใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีแดง กางเกงขายาว รองเท้าแตะสีเหลือง และคนที่ 2 มีลักษณะ ตัวผอม ผิวแทน ลักษณะการแต่งกาย สวมใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีกรม กางเกงขาสั้นสีดำ รองเท้าแตะสีน้ำเงิน จึงไล่เส้นทางหลบหนี จนทราบว่าผู้ก่อเหตุหนีไปอยู่บริเวณดังกล่าว จึงไปตรวจสอบพบตัวผู้ต้องหาทั้งสองราย มีลักษณะตรงกับภาพวงจรปิด และทำทีมีพิรุธจะหลบหนีจึงเข้าจับกุมตัวไว้ได้

จากการสอบสวน นายวสุฯ และนายสมพรฯ ผู้ต้องหา ได้ให้การว่าเป็นคนเดียวกันที่ก่อเหตุ ลักโทรทัศน์ จำนวน 2 เครื่อง จริง โดยลักมาจากบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 83/106 ตึกมาลีอพาร์ทเม้น ติดสถานีรถไฟบางบอน แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. เวลาประมาณ 04.00 น. จากนั้นได้นำกลับมาที่บ้านของตนเองบ้านพักไม่มีเลขที่ริมทางรถไฟ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ โดย หลังจากที่ลักโทรทัศน์มาได้จะนำมาสับเปลี่ยนอะไหล่ ก่อนนำไปขาย เพื่อหาเงินไปซื้อยาเสพ จึงถูกนำตัวแจ้งข้อหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.