เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 มี.ค. ที่ร้านอาหารพริ้มเพลิน จ.ปทุมธานี คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนาเรื่อง “การใช้พื้นที่ทหาร บทบาทหน้าที่ของทหารกับท้องถิ่นในการพัฒนาประเทศ” 

นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนขอตั้งคำถามกรณีสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ข้าราชการควรจะได้รับหรือไม่ ตนคิดว่าไม่ใช่ แค่เปลี่ยนสนามกอล์ฟเป็นพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากว่านี่เป็นพื้นที่ของรัฐอยู่แล้วจึงคิดว่ากองทัพไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากทำความเข้าใจในหลักการได้ สวัสดิการตั้งเยอะ หลายอย่างก็ควรปรับ เราต้องดูประเทศอื่นบ้านอื่นเมืองอื่น สวัสดิการบ้านเราประหลาดเพราะกองทัพทำธุรกิจ กำไรที่ได้มา ค่อยมาจัดสรร แต่หากได้น้อยแค่ว่าจะไม่จัดบริการให้กำลังคนเลยแบบนี้ไม่เรียกว่าสวัสดิการเลย เพราะไม่ใช่รับประกันของชีวิตว่าจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ตลอดไป ซึ่งตนก็งง ทำไมกองทัพไม่ของบฯ สวัสดิการทั้งๆ ที่ต้องการ 120 ล้านบาท ในการจัดสวัสดิการเท่านั้นเอง ทำไมไม่ของบประมาณเข้ามา ถ้าขอมาเชื่อว่าสภาก็ไม่ตัดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าถึงมือชั้นผู้น้อยจริงหรือไม่ ทำธุรกิจได้มาแล้วเงินไปไหน แล้วเราก็ตั้งคำถามว่าทำไมบางคนเกษียณบางคนรวยเป็นร้อยล้าน ก็ทำให้ประชาชนสงสัยและตั้งคำถาม

จากนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการทหาร ได้ตอบคำถามประชาชนที่ร่วมเสวนา ความตอนหนึ่ง ในเรื่องของการยุบพรรค ว่า ตนไม่กลัวการถูกยุบพรรค เพราะพรรคเป็นเพียงนามธรรม แค่ไปสมัครสมาชิกใหม่ 100 บาท ถูกกว่าการซื้อปลาช่อนอีก แต่ถามว่าถ้าถูกยุบพรรคก็อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่พรรคก็ไปต่อ ประชาชนก็ไปต่อได้ ดังนั้นส่วนตัวจึงไม่กลัว ส่วนเรื่อง สส.จำนวน 44 คน ที่มาเสนอแก้ไขมาตรา 112  ตรงนี้ เราก็ยืนยันว่า เราทำงานตามอำนาจหน้าที่นิติบัญญัติ ดังนั้นการที่เราไปมีกิจกรรมร่วมกับประชาชน เกี่ยวกับเรื่องของการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเราคิดว่า เสียงของประชาชนมีความหมาย เพื่อเสนอกฎหมาย เป็นการร่วมกิจกรรมกับประชาชนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

“ผมก็ลำบากใจ ทำอะไรไม่ได้ หรือการสู้กับคนบ้า มันก็พร้อมที่จะทำอะไรโดยไม่ต้องสนใจเหตุผล ผมคิดว่า สมมุติผมอยู่ในเลขบ้านเลขที่ 44 แล้วเกิดถูกตัดสิทธิ คิดว่าเขาโง่มาก ที่คิดว่าการเดินทางของก้าวไกล ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เพราะนายธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ ที่โดนตัดสิทธิก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านชั้น 1 ชั้น 2 มาตลอดไม่เคยต้องดิ้นรนขึ้นไปอยู่ชั้น 14 เหมือนใครบางคน ดังนั้นวิโรจน์ก็ไม่กลัว เพราะมีบ้าน 2 ชั้น ก็คงไม่ต้องดิ้นรนไปอยู่ชั้น 14 ผมพูดอยู่เสมอว่า ชีวิตของตัวเองและผู้แทน 44 คน  ทุกคนมีเป้าหมายที่อยากเดินทางไป แต่ความสุขของพวกผมไม่ได้อยู่ที่การไปถึงเป้าหมาย แต่การขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายทุกวัน แต่คนบ้า คนบอ คนสติดี คนสติไม่ดี หรืออะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่มีเหตุผล ทำให้ผมต้องหยุดเดินไปสู่เป้าหมายทั้งๆ ที่ก็มีความสุขกับเส้นทางที่เดินมาแล้ว ดังนั้นก็จะมอบหมายให้คนรุ่นใหม่เดินหน้าต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีความกังวล เพราะก็ไม่ได้มีความหวังที่จะเป็นรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นแล้วต้องตระบัดสัตย์แล้วจะเป็นทำแมวอะไร” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า วันนี้ในฐานะประธานกรรมาธิการการทหาร วันนี้เรา ทำงานกับกองทัพได้ ไม่ได้มีปฏิปักษ์อะไรกัน และสนับสนุนเรือฟริเกต แม้วันนี้จะมีแค่ลำเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ที่สนับสนุน เพราะการต่อเรือเองจะเกิดการจ้างงาน ซึ่งจริงๆ ตนคิดว่ามันขาดแน่ และเชื่อในน้ำเงี้ยวของรัฐมนตรีว่าจะสามารถอธิบายกับตัวแทนรัฐบาล กรรมาธิการและพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ เรื่องนี้กองทัพคงเข้าใจแล้วว่าก้าวไกลไม่มีปฏิปักษ์กับกองทัพ แต่หวังให้มีความโปร่งใส วันนี้ดูโหงวเฮ้งแล้วตนน่าจะเป็นรัฐมนตรีได้มากกว่านายสุทิน  คลังแสง อีก ยืนคู่กันมีคนแซว ว่าดูโหงวเฮ้ง ว่าใครเป็นรัฐมนตรี ใครเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหมก็ไม่รู้ วันนี้ ใครกลัวว่าก้าวไกลเป็นรัฐบาลแล้วจะไม่ซื้ออาวุธ ก็ไม่จริง แต่จะซื้ออย่างมีเหตุผลและจะทำให้กองทัพและประชาชนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจภายใต้ความโปร่งใส  มีเหตุ มีผล เชื่อว่า ถ้ากองทัพประสานกับประชาชนได้เมื่อไหร่ ประเทศชาติจะก้าวไปข้างหน้า

นายวิโรจน์ กล่างต่อว่า ขอให้นายสุทินคิดดีๆ ถ้าตนอยู่บ้านเลขที่ 44 แล้วมีการยึดอำนาจ แล้วถ้าตนถูกจับ ก็ขออยู่ชั้น 1 ชั้น 2 ไม่ขออยู่ชั้น 14 อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าทหารคงไม่มีการยึดอำนาจรัฐประหารอีกแล้ว เพราะอยู่ในยุคตกต่ำมาแล้วตั้งแต่หลังพฤษภาทมิฬ ประชาชนเจอทหารแล้วด่าถ่มน้ำลายใส่ ดังนั้น วันนี้ทหารจะไม่ไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น แต่สิ่งที่กลัวคือการปฏิวัติรัฐประหารโดยใช้อำนาจตุลาการ และใช้องค์กรอิสระมากกว่า ซึ่งใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น นี่คือความกังวลของสังคมมากกว่าดังนั้น เราไม่รอรวมตัว แล้วให้เขามาจับ ท้ายที่สุดเราต้องพยายามขับเคลื่อนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ให้องค์กรอิสระที่มีที่มาไม่ได้ยึดโยงกับที่ประชาชนมีอำนาจในการยุบพรรค 2. ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระทั้งหมด ให้สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยหลงอยู่กับคำว่าอิสระ ทั้งๆ ที่เป็นการให้คนหรือกลุ่มบุคคลใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไม่สนใจเสียงประชาชน เหมือนที่เราเจออยู่ในวันนี้ ซึ่งก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งมีหลายพวก ทุกวันนี้ทั่วโลกไม่มีคำว่าอิสระ มีแต่คำว่า ตรวจสอบและถ่วงดุลเท่านั้น ดังนั้น หากเราสามารถทำให้องค์กรอิสระสามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้เมื่อนั้นเราจะรอดจากการถูกรัฐประหารโดยปริยาย อย่างที่เป็นอยู่

“พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้โดนรัฐประหารหรือ พรรคก้าวไกลก็ไม่ใช่ว่ากำลังจะโดนรัฐประหารอยู่หรือไม่ กำลังยื้อกันอยู่ มันก็เครียด แต่ยุบไปก็ตั้งใหม่ได้ 44 คนหายไปก็ใช่ว่าจะหายไปเลย ดีเลยเป็นการปล่อยเสือเข้าป่าอีก 1 ฝูง เพราะฉะนั้น คนพวกนี้แม้จะชั่วแต่ก็ไม่ได้โง่” นายวิโรจน์กล่าว.