เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ร้านอาหารพริ้มเพลิน จังหวัดปทุมธานี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กลับตอนหนึ่งในการสัมมนา เรื่อง “การใช้พื้นที่ทหาร บทบาทหน้าที่ของทหารกับท้องถิ่นในการพัฒนาประเทศ” ว่า ทหารมีกิจการมากมายแต่ไม่ได้ถูกรายงานให้กับสภาผู้แทนราษฎร หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยทหารจะมีกฎหมายอันหนึ่งเขียนมาเฉพาะกิจเพื่อให้กิจการกองทัพ คือเงินนอกงบประมาณประเภท 2 คือ เงินที่ส่วนราชการได้รับหรือต้องรับผิดชอบโดยที่ส่วนราชการนั้น หรือกระทรวงกลาโหมส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ออกข้อบังคับระเบียบคำสั่งหรือคำชี้แจง ไว้ให้ถือเป็นทางปฏิบัติ ก็แค่ไปเซ็น MOU ร่วมกันเมื่อจะใช้ทรัพยากรของประเทศมาใช้แล้วออกข้อบังคับเองว่า จะจัดการปันส่วนแบ่ง โดยไม่ต้องขอต่อหน่วยงานไหนๆ เลย​ ในขณะที่หน่วยงานอื่น อย่างตำรวจ หรือหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทยเงินทุกบาทที่ต้องใช้เนื่องจากเป็นเงินภาษีประชาชน จะต้องขอผ่านสภาฯ และตรวจสอบได้ แต่กิจการของกองทัพ กลับออกกฎเอง  บริหารเอง สอบบัญชีเอง แต่เมื่อขอดูรายงานการสอบบัญชีกลับไม่เคยได้เลยสักกิจการ  แม้ว่าจะใช้ตำแหน่งสส. ในการขอเอกสารเหล่านี้ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ปีนี้ตนไปอยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร ก็ขอรายงานอีกประชุมกันได้ครึ่งทางแล้วจะรอดูว่ารอบนี้จะได้หรือไม่ ในเรื่องของงบการเงิน กิจการสวัสดิการของกองทัพ

นายธนาธร กล่าวว่า สำหรับกิจการหลังจากนั้นมีหลายอย่าง เช่น สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ส่งกำไร เข้ากองทุนสวัสดิการ แม้กระทั่งร้านกาแฟ Amazon ปั๊มน้ำมัน มีร้านสะดวกซื้อ 7-11 เป็นต้น หรืออย่างพื้นที่ ภาคตะวันออก กองทัพเรือมีสวัสดิการไฟฟ้าบริเวณแสมสาร สัตหีบ ซึ่งชาวบ้านที่นั่นไม่ได้ซื้อไฟจากการไฟฟ้า แต่ซื้อไฟจากกองทัพ เงินที่ได้ก็เข้ากองทุนสวัสดิการที่อยู่ข้างบน ดังนั้น ตอนนี้เราเริ่มเห็นภาพแล้วว่า กิจการกองทัพมีอะไรบ้าง แต่ยังไม่เห็นงบประมาณว่า แต่ละปีมีเท่าไหร่ ใช้จ่ายอะไร แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับกองทัพว่า ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ยังไม่เป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ในเมื่อใช้ทรัพยากรของประเทศ ดอกผลของมันก็ควรจะถูกตรวจสอบได้ด้วยตัวแทนของประชาชน ซึ่งตอนนี้เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ 4-5 ปีกองทัพเริ่มปรับตัวโดยเฉพาะนายทหารรุ่นใหม่ อายุสัก 40-50 ปีก็พอเข้าใจสิ่งที่เราพูด และเริ่มเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ

นายธนาธร กล่าวย้ำว่า สำหรับสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ขนาด 625 ไร่ หากจัดการให้ประชาชนจะมีศักยภากมาก แต่ปัจจุบัน รอบๆ พื้นที่ดังกล่าฝมีห้างสรรพสินค้า 5-8 แห่ง คนเดินเยอะ ทั้งๆ ที่เราอยากให้คนเดินสวนสาธารณะ แต่กลับไม่เคยสร้างสวนสาธารณะขึ้นรองรับการเติบโตของเมืองเลย ไม่มีการสร้างทางเลือกในการใช้ชีวิตให้กับคน พอมีแต่ห้าง ฯ คนที่รวยก็คือเจ้าสัวเจ้า ดังนั้น หากมีการจัดสรรดีๆ ที่นี่จะเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุด สามารถรับใช้คนได้หลายแสนคน ให้มาใช้สำหรับการทำกิจกรรมครอบครัว รวมถึงจัดอีเว้นท์ทางการเมือง แล้วสร้างสายรถเมล์ที่วิ่งสั้นๆ เพื่อขนคนเข้าสู่โหมดของการเชื่อมต่อศูนย์กลาง การคมนาคมไปยังที่ต่างๆได้ ที่แห่งนี้ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุด ที่จะเป็นฮับของการเดินทางย่านนี้ ไม่ว่าจะเชื่อมกับรถไฟฟ้า รถเมล์ แล้วจะเกิดเศรษฐกิจ 2 ข้างทางช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อย และคนที่เหมาะสมที่จะรับการถ่ายโอน พื้นที่ตรงนี้มากที่สุดคือ อบจ.ปทุมธานี อย่างไรก็ตามอาจจะต้องมีการหารือร่วมกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคูคต และทางอบจ. ปทุมธานีอีกครั้งหนึ่งถึงความเหมาะสม

“ทหารไม่ควรทำกิจกรรมที่ไม่ใช่ภารกิจหลัก  ก็เพื่อให้กองทัพสามารถมีสมาธิในการสร้างกองกำลังที่เข้มแข็งเกรียงไกร ทันต่อโลก พร้อมปกป้องประเทศไทยตลอดเวลา ส่วนการพาณิชย์ไม่ใช่ภารกิจหลักของกองทัพ จึงไม่ควรจะทำ ประการที่สองเรื่องของความโปร่งใส ทหารเวลาคุยกรรมาธิการ มักจะพูดว่าทหารทำงานหนัก เสี่ยงภัย ผมถามว่าอาชีพอื่นทำงานหนักน้อยกว่าทหารหรือ ถ้าคุยกับครู ตำรวจ คนเก็บขยะ ต่างมีความสำคัญกับประเทศไม่แพ้กัน  ทหารบอกว่าต้องเสียสละ แต่ผมบอกว่าถ้าไม่อยากเป็นทหาร ก็ลาออกมาก็เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรม คนเก็บขยะ ครู ตำรวจข้าราชการอื่นๆ ไม่สามารถเอาทรัพย์สินของรัฐ มาทำกิจการให้กับตนเองแบบนี้ได้ แต่ทหารกลับเอาทั้งคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ ที่ดิน และอะไรต่างๆ มาทำเป็นธุรกิจของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ภารกิจหลักของกองทัพเยอะแยะไปหมด เราต้องการลดตรงนี้ เพราะเมื่อมีผลประโยชน์ทางธุรกิจน้อยลง แรงจูงใจที่จะมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็น้อยลงไปด้วย นี่คือส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกองทัพ” นายธนาธร กล่าว

ในช่วงท้ายมีการเปิดให้ ผู้ร่วมประชุมซักถาม โดยมีผู้สอบถามว่าหากการถ่ายโอน ไม่สำเร็จจะดำเนินการอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า  ง่ายๆ แค่ครั้งหน้าเลือกก้าวไกลให้เยอะกว่านี้ เป็นแผน 2 คือการชนะเลือกตั้งให้มากกว่านี้

เมื่อมีผู้ร่วมประชุมถามถึงกรณีการป้องกัน หากมีการถ่ายโอนให้กับท้องถิ่นแล้วจะไม่นำไป จัดสรรให้กับภาคเอกชนอีก นายธนาธรกล่าวว่า สำหรับการป้องกันกรณีหากถ่ายโอนแล้ว อบจจะไม่ดำเนินการ หรือล้มเหลว หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตัว ตรงนี้ก็ต้องอยู่ที่คนปทุมฯ ที่จะติดตามการเมือง มีความกระตือรือร้นทางการเมืองตลอดเวลา เพราะวันนี้การเมืองพังเพราะเราไม่ติดตามการเมืองไม่กระตือรือร้น และหากบริหารไม่ดีจริงก็จัดม็อบหน้าอบจ.เลย เราต้องการประชาชนที่กระตือรือร้นทางการเมืองแบบนี้ถึงจะควบคุม ตรวจสอบ ถ่วงดุลผู้มีอำนาจได้ มีเพียงประชาชนที่กระตือรื้อร้นทางเสรีภาพ และกระตือรือร้นทางการเมืองถึงจะทำให้การเมืองดี.