เมื่อวันที่ 13 มี.ค. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตระหนักถึงสถานการณ์น้ำที่แปรปรวน การปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วม น้ำแล้ง สลับกันไป จึงมีงานวิจัยที่ช่วยในการเพิ่มความถูกต้องในการทำนาย จำลองสภาพล่วงหน้า ช่วยในการตัดสินใจ และเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้ง และภัยน้ำท่วมได้ดียิ่งขึ้น วช. จึงจัดให้มีการแถลง “แนวโน้มสถานการณ์น้ำ 67-68 และมาตรการการปรับตัว”

โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. เป็นประธานในการเปิดงานและชี้แจงวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหาร วช. ประกอบด้วย รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานบริหารแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานบริหารจัดการน้ำ ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ นักวิจัยศูนย์ภูมิอากาศ กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ดร.กนกศรี ศรินนภากร หัวหน้างานภูมิอากาศและสภาพอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ผศ.ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ และ ผศ.ดร.จุติเทพ วงษ์เพ็ชร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมการแถลง ณ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ วช.

ดร.วิภารัตน์ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์แผนงานสำคัญของประเทศ มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมสามารถสนับสนุนการป้องกัน แก้ไขปัญหาที่เป็นประเด็นสำคัญ โดยในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วช. ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบ โครงการ แผนงาน และแผนงานชุดโครงการขนาดใหญ่ หรือแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานบริหารจัดการน้ำ ที่มี รศ.ดร.สุจริต เป็นประธานบริหารแผนงาน

การจัดงานในครั้งนี้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำของประเทศ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมชลประทาน และนักวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานบริหารจัดการน้ำ เพื่อบูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำรวมถึงการขับเคลื่อนสังคมและสร้างวัฒนธรรมรักษ์น้ำและการประหยัดน้ำ เพื่อให้สามารถผลักดัน ขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม ให้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทางด้าน ดร.กนกศรี และ ดร.ชลัมภ์ ให้ข้อมูลว่าจากการคาดการณ์พบว่าในปีนี้ และปีหน้าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะลานีญา ช่วงต้นปี 67 ฝนจะน้อย โดยฝนจะตกมากในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. โดยจะมีแนวโน้ม 2 รูปแบบ คือ ลานีญาแบบปกติ หรือลานีญาแบบอ่อนเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะกลับมาแล้งอีกในปี 71 การบริหารปริมาณน้ำในเขื่อนจึงต้องวางแผนล่วงหน้า 2 ปี และควรประเมินสถานการณ์น้ำตามตำแหน่งของพื้นที่ซึ่งได้รับน้ำจากฝนทุก 2 เดือน

ส่วน ผศ.ดร.จุติเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า แบบจำลองปริมาณน้ำท่าในปี 67-68 มีความเป็นไปได้ 3 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 หากช่วงฤดูฝนของปี 67 มีการพัฒนาเข้าสู่สภาวะลานีญารุนแรง จะทำให้ปริมาณน้ำ สูงถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม. รูปแบบที่ 2 หากช่วงฤดูฝนของปี 67 มีการพัฒนาเข้าสู่สภาวะลานีญาอ่อน จะทำให้ปริมาณน้ำมีประมาณ 6,000-8,000 ล้าน ลบ.ม. และรูปแบบที่ 3 หากในช่วงฤดูฝนของปี 67 สภาวะลานีญาอยู่ในระดับปกติ และในปี 68 ปริมาณน้ำจะอยู่ที่ระดับประมาณ 6,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเชื่อมโยงถึงการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานและแนวทางการปรับตัวของภาคเกษตร โดย ดร.ธเนศร์ และ ผศ.ดร.ไชยาพงษ์ ซึ่งกรมประทานได้นำข้อมูลจากการพยากรณ์เหล่านี้มาพิจารณาร่วมกับปริมาณน้ำจริงในอ่างเก็บน้ำ ช่วงเดือน พ.ค. ก่อนเข้าจะเข้าฤดูฝนตามการคาดการณ์ ปริมาณน้ำกักเก็บที่เพียงพอต่อการ อุปโภค บริโภค และสิ่งแวดล้อมในประเทศคือ ประมาณ 4,000 ล้าน ลบ.ม.

หากกักเก็บน้ำได้มากกว่าจะเป็นน้ำส่วนที่นำส่งเพื่อการเกษตร แต่ในส่วนนอกเขตชลประทานจะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อลดผลกระทบเมื่อฝนทิ้งช่วง เช่น การเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ การใช้เทคโนโลยีในการให้น้ำ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้น้ำพืช การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูก

ขณะที่ รศ.ดร.สุจริต กล่าวสรุปว่าการแถลงครั้งนี้เป็นการเสนอการคาดการณ์ และทางออกของการจัดการปัญหาด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในการบริหารจัดการน้ำเพื่อตั้งเป้าหมาย ลดความเสี่ยง ลดความเสียหาย ยั่งยืนแบบยืดหยุ่น รวมทั้งสร้างการรับรู้และเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในการปรับพฤติกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสถานการณ์น้ำในปี 67-68