นอกจากนั้นยังปรากฏภาพ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ โผล่ร่วมแจมขบวนและงานเลี้ยงต้อนรับอดีตนายกฯ อย่างเปรมปรีดิ์  ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการส่งสัญญาณอะไรมาถึง บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือไม่ ท่ามกลางปมร้อนหมุด ส.ป.ก.ฉาวรุกป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่าง 2 กระทรวงที่กำกับดูแลโดยรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ

อีกซีนหนึ่งที่เรียกว่ายอมกันไม่ได้คือการบุกไปเยือนเชียงใหม่ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในช่วงวันที่ 16-17 มี.ค.นี้  โดยเปลี่ยนคิวลงพื้นที่จากเชียงรายไปเชียงใหม่เพื่อติดตามการแก้ปัญหาไฟป่า ให้เหตุผลว่าไฟป่าที่เชียงรายดับแล้วจึงต้องโยกมาเชียงใหม่ที่ยังมีปัญหาแทน

งานนี้ พิธา” พร้อมทีม สส.เชียงใหม่ สลัดคราบนักรบห้องแอร์ลุยแบกอุปกรณ์ขึ้นเขาดับไฟป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครในพื้นที่ บอกเปล่ามาวัดพลังเช็กเรตติ้งกับพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาของการหากระแสแต่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน ที่เชียงใหม่มีค่าฝุ่นสูงสุดในโลก 2 วันติดกัน แต่รัฐบาลยังไม่ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติเพราะมัวแต่ห่วงผลกระทบเรื่องการท่องเที่ยว และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพราะมี สส.ถึง 7 เก้าอี้ อีกทั้งฝ่ายค้านก็ต้องทำงานเหมือนกัน ถ้าไม่อยากให้ทำงานก็ไปออกกฎหมายห้ามฝ่ายค้านลงพื้นที่

งานนี้ถือว่าได้ใจกองเชียร์เหล่าด้อมส้มในพื้นที่และที่อยู่ในโลกโซเชียลกันเต็มๆ แต่ฝ่ายเหม็นขี้หน้าหรือบรรดานางแบกพรรคเพื่อไทยทั้งหลายก็คงมองว่าพฤติกรรมไม่ต่างจากนางอิจฉาคอยตามไประรานตัวเอก ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าวินาทีนี้คือ “ทักษิณ”  ที่ทำให้ภาพประเทศไทยมีนายกฯ 2-3 คนชัดเจนยิ่งขึ้น แม้อดีตนายกฯ อาจจะอยู่ในภาวะ “แหงนหน้าก็อายฟ้า ก้มหน้าก็อายดิน”อย่างที่ “เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.นครปฐม พรรคก้าวไกล อดีตคนเสื้อแดงตัวแม่ออกมาฉะยับ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่พรรคก้าวไกลกำลังอยู่ในภาวะใกล้โคม่าหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณีนโยบายหาเสียงด้วยมาตรา 112 ต่อเนื่องมาถึง กกต. ยื่นยุบพรรคเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแกนนำพรรคคาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนช่วงสงกรานต์นี้  รวมทั้ง ป.ป.ช.เตรียมซ้ำฟันดาบสาม 44 สส.ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่อาจทำให้พรรคก้าวไกลสิ้นชื่อตายยกรัง โดยไม่แน่ใจว่าจะปลุกปั้นคนที่มีความกล้า บ้าบิ่น มาสู้กับระบอบการเมืองแบบไทยๆ ในรุ่นที่ 3 ได้ทันหรือไม่ การปลุกปลอบขวัญ สส.และมวลชนในจังหวะเวลานี้จึงมีความสำคัญที่จะนำพาให้พรรคเดินต่อไปได้

สุดท้ายเป็นเรื่องที่ฝ่ายผู้มีอำนาจหรือผู้กำกับฉากการเมืองไทยต้องประเมินเองว่าบทสรุปของการสังหารโหดทางการเมืองจะทำให้คนที่มีแนวความคิดอย่างพรรค “อนาคตใหม่” หรือ “ก้าวไกล” หมดสิ้นจากสังคมไทยหรือไม่.