เมื่อเวลา 09.08 น. วันที่ 25 มี.ค. 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติด่วน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย ครม.เดินทางเข้ามาร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น

ต่อมาในเวลา 09.27 น. นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ได้อภิปรายเปิดญัตติอภิปรายฯ ว่า การยื่นขออภิปรายดังกล่าวนี้ ถูกพูดถึงว่าเป็นการซักฟอก หรือล้มรัฐบาล ทำให้รัฐบาลเสียหาย ตนขอชี้แจงว่าความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิด ในทางการเมืองเอง ไม่ค่อยมีใครกล้า หรือไม่ค่อยมีใครที่จะยื่นขอเปิดอภิปรายเพราะเกรงว่าจะกระทบพวกตัวเอง กับคนมีอำนาจ ทำให้การทำงานในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยาก แม้กระทั่งในวุฒิสภาเองก็ต้องยอมรับว่ากว่าจะได้สมาชิกลงชื่อถึง 90 กว่าคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่ายรัฐบาลเองก็พยายามออกมาพูด ลงชื่อไม่ครบ ไม่อยากให้พูดถึง เพราะฉะนั้นสิ่งที่วุฒิสภาชุดนี้ดำเนินการในสภาแห่งนี้เป็นการแก้ปัญหาของประเทศและบ้านเมือง ไม่มีเจตนา ไม่มีอคติ ไม่มีการที่จะมาพูดให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นการขอเปิดอภิปรายทั่วไปฯ ก็คงที่จะต้องทำอย่างรวดเร็ว ฉับพลันเพราะถือว่าเป็นปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินประเทศชาติและประชาชน แต่ก็ใช้เวลาเกือบ 2 เดือน จึงจะกำหนดเวลาให้ แต่ตนขอทักท้วงว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ ไม่เห็นความจริงใจของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาให้กับประเทศมีมากน้อยแค่ไหน

“ผมพูดในวันนี้เพื่อที่จะให้เป็นแนวทางบรรทัดฐานในอนาคตว่าเมื่อใดก็ตามเมื่อมีการขอเปิดอภิปรายฯ ให้มองว่าเป็นประโยชน์จากการทำงาน แต่นี่กลายเป็นรัฐบาลเอาเวลาไปใช้อย่างอื่น จึงสำคัญน้อยกว่า เช่น เดินทางไปต่างประเทศ หลายครั้งในช่วงระยะที่เข้ามาบริหารประเทศ เอาเวลาไปเชียงใหม่ไปกินอาหาร กินไวน์ ทั้งๆ ที่ฝุ่นเต็มเมืองเชียงใหม่ ท่านก็เอาเวลาไปใช้ในเรื่องเหล่านี้ จริงๆ ก็เป็นสิทธิของท่าน แต่ผมกำลังชี้ให้เห็นว่าท่านใช้เวลาเหล่านี้ ไม่ให้ความสำคัญกับการที่จะมารับฟังว่าประเทศในการบริหารราชการแผ่นดินมีปัญหาอะไร แต่ท่านกลับไปสูดฝุ่นควันที่เชียงใหม่ ทำให้พรรคร่วมฝ่ายค้านออกไปแสดงบทบาทเชิงตัดหน้าลงไปตรวจดูไฟไหม้ป่าต่างๆ แต่ท่านก็ยังมาให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ การที่วุฒิสภาจะบอกว่าเป็นปัญหาของประเทศ มันเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องมารับฟังแก้ไขร่วมกัน หากนายกรัฐมนตรีและคณะให้ความสำคัญกับการประชุมฯ นี้ ก็เป็นภาพลักษณ์ที่ดี แต่นายกฯ มาเอง ก็เป็นไปตามที่ผมภาวนาหวังว่านายกฯ จะอยู่ถึงวันที่ 25 มี.ค. แต่สิ่งที่ผมภาวนาได้ผลคือ ทำให้นายกฯ และคณะมาประชุมร่วมกันที่รัฐสภาถือว่าเป็นประโยชน์กับรัฐบาล” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวว่า วุฒิสภาต้องการเห็นรัฐบาลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ บริหารประเทศสร้างความยั่งยืน มั่งคั่ง สร้างความผาสุกให้กับประชาชน เพราะปากท้องเป็นเรื่องสำคัญของประชาชน กรณีที่ได้หาเสียงมาที่มีการพูดถึงการกินดีอยู่ดี แต่ตอนนี้เวลาผ่านมา 6 เดือนเข้าเดือนที่ 7 ก็ยังไม่สามารถทำอะไรที่เป็นรูปธรรม การแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชน ท่านหวังเพียงอย่างเดียวว่าทำไม่ได้ เพราะต้องรองบประมาณ เพราะกฎหมายยังไม่ออกเลยทำไม่ได้ กลายเป็นข้อแก้ตัว แต่กฎหมายงบประมาณยังไม่ออก แต่การบริหารประเทศไม่ได้หยุด รัฐธรรมนูญมาตรา 141 ก็ได้บัญญัติไว้ถ้ากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณยังไม่ออก ให้ใช้กฎหมายงบประมาณเดิมไปพลางๆก่อนได้  แต่กลายเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ ก็เลยหาเหตุผลมากล่าวอ้าง

“แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านก็ตั้งใจ จะแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต พอจะแจกเงินก็มีปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง ที่มีองค์กรต่างๆ ทักท้วง ว่าการแจกเงินดิจิทัลทุจริตคอร์รัปชั่น ถามกลับ ครม.ว่าถ้าหากแจกเงิน 10,000 บาท แล้วประชาชนได้รับเงินสามารถใช้เงินดังกล่าวได้ไม่ถึงเดือน แต่เงินที่ต้องไปกู้มา 5 แสนล้านบาท เงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ไม่สามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่ต้องการได้ แต่จะกลายเป็นการกระตุ้นความลำบาก ความยากจนให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวอีกว่า ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น ไม่ใช่แก้อย่างที่ทำ คือกระทรวงพาณิชย์ไปจัดอีเวนต์ที่ห้าง ห้างได้ประโยชน์แต่คนทั่วไปได้ประโยชน์หรือไม่ ถ้าจะทำจริงต้องเปิดตลาดชุมชน ทุกตำบลให้ประชาชนมีที่ขายของ และเปิดทุกวัน ไม่ใช่เปิดแค่ 2 วันแล้วบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจปากท้อง ก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้มีรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนและต่อเนื่อง นี่คือการแก้ปัญหาที่แท้จริง

“ไม่ใช่ท่านไปต่างประเทศแล้วทำตัวเป็นเซลส์แมน จริงๆ เซลส์แมนไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่อย่างท่านนายกฯ ไปต้องไปแบบซีอีโอ ท่านต้องไปแบบผู้บริหารระดับสูง ส่วนเซลส์แมนต้องให้นายภูมิธรรม เวชยชัย เพราะอยู่กระทรวงพาณิชย์ เพราะมีทูตพาณิชย์อะไรเยอะแยะ อันนี้ผมคิดว่ากลับหัวกลับหางหมดเลย ไปๆ มาๆ รัฐมนตรีหลายคนก็ออกมาเชียร์ท่านนายกฯ ยกใหญ่ บอกเป็นเซลส์แมนดีอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เชียร์กันไป แต่ผลที่ออกมามันไม่ได้ประโยชน์ในภาพลักษณ์ภาพรวมอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าผมไปดูถูกดูแคลนเซลส์แมน แต่สิ่งที่ท่านทำนั้นท่านต้องทำตัวเป็นผู้บริหารระดับสูงเป็นซีอีโอ” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวว่า ส่วนการใช้กฎหมายจะทำอย่างไรที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชน กระบวนการยุติธรรมนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่นายกฯ และรัฐบาล ต้องสร้างมาตรฐาน สร้างมาตรการของการที่จะให้ประชาชนอยู่ภายใต้กฎหมายที่เป็นธรรมด้วยกัน แต่ปรากฏว่าผลงานดีเด่นของรัฐบาลที่ทำอยู่ มีความชัดเจน มีความโดดเด่น สามารถทำให้ประสบความสำเร็จ ด้วยความเคารพ มีอยู่เรื่องเดียวเรื่องช่วยคนทำผิด แล้วไม่ต้องรับโทษ ให้หน่วยงานกรมราชทัณฑ์มีการออกระเบียบหลายฉบับ เอื้อต่อการที่จะช่วยคนไม่ต้องให้รับโทษแม้กระทั่งศาลพิพากษามาแล้ว แต่กรมราชทัณฑ์เอง กลับกลายเป็นออกกฎหมายออกระเบียบเอื้อประโยชน์ต่อบางคนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย

“อันนี้โดดเด่นเป็นผลงานของรัฐบาลเป็นผลงานของนายกฯ แต่กระบวนการยุติธรรมเสียหาย ผมก็ทักท้วงว่าสิ่งที่ท่านทำเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ มีวิธีหลายอย่างที่จะสามารถทำได้ไม่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ไม่ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกไม่ดี แต่ทำเพราะแสดงอำนาจ แสดงบทบาท แสดงความยิ่งใหญ่ว่ากลับมาประเทศแล้วไม่ติดคุกสักวันเดียว ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ผมพูดในหลักการไม่ได้พูดในตัวบุคคล แต่ด้วยความห่วงใย ผมภาวนาขอให้นายกฯ อยู่ครบ 4 ปี ไม่ใช่จะเป็นข่าวถูกเปลี่ยนทุกวี่ทุกวัน ถูกเลื่อยขาเก้าอี้อยู่ทุกวัน ผมก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีรู้หรือไม่ว่าประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมที่ไม่ถูกต้อง อยากให้รัฐบาลอยู่อย่างยั่งยืนครบวาระ แต่ประเทศไทยมีปัญหา หาคนบริหารประเทศหายาก หาคนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็หายาก ฝ่ายค้านก็เอาแต่จะล้มล้างการปกครอง เราไม่รู้จะหาทางไหน อยู่ที่รัฐบาลปัจจุบันจะทำอย่างไรให้ดีที่สุด ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดกับประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน ถ้ารัฐบาลตอบได้ก็เป็นผลงานของรัฐบาล แต่ถ้ารัฐบาลยังไม่ได้คิด ถ้ายังไม่ได้ทำ ถ้าฟังวุฒิสภา และนำไปทำก็เป็นอานิสงส์ของรัฐบาล ก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน

นายเสรี อภิปรายทิ้งท้ายว่า ส่วนกรณีจับบ่อนที่บางใหญ่  จ.นนทบุรี ถามว่าเปิดบ่อนใหญ่โตขนาดนี้ตำรวจไม่รู้หรือ รู้แต่ก็เหมือนยาเสพติด ขายที่ไหนตำรวจก็รู้ แต่นายก ฯปล่อยปละละเลยทำให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น คนที่ทำเหล่านี้ ก็รู้เห็นเป็นใจ เล่นละครไปจับ เพราะสิ่งเหล่านี้ผิดกฎหมาย สิ่งผิดกฎหมายหากินง่าย ถ้าทำถูกกฎหมายหากินไม่ได้ แต่หลายฝ่ายก็ปล่อยให้ผิดกฎหมายอยู่ตลอด เพราะเป็นช่องทางทำมาหากินหารายได้ของเจ้าหน้าที่บางคนและจำนวนมาก.