กรณี ตำรวจ บก.ป. คุมตัว นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดนนาน 15 ปี จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ มาที่ บก.ป. หลังเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีตามหมายจับในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่ โดยทันทีที่มาถึง บก.ป. ตำรวจได้พา นายจักรภพ หลบสื่อมวลชน โดยขับรถตู้ไปจอดที่บริเวณด้านหลัง ระหว่างอาคาร บก.ป. กับอาคารจอดรถ ก่อนพาขึ้นลิฟต์อาคารจอดรถขึ้นไปชั้น 2 ซึ่งมีทางเชื่อมเข้าสู่อาคาร บก.ป. ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ด่วน! คุม ‘จักรภพ’ เข้ากองปราบฯ หลังลี้ภัยการเมือง 15 ปี ปฏิเสธทุกข้อหา

ความคืบหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรับทราบข้อกล่าวหาเบื้องต้น นายจักรภพ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขณะที่พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกันในชั้นสอบสวน โดยกำหนดหลักทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาทต่อคดี โดยไม่มีเงื่อนไข โดยจะต้องมารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนครั้งต่อไปในวันที่ 22 และ 23 เม.ย.นี้

หลังประกันตัว นายจักรภพ ได้ลงมาทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตั้งอยู่บริเวณโถงชั้นล่างกองบังคับการปราบปราม ก่อนเปิดเผยว่า ได้ออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2552 เป็นเวลา 15 ปี จึงตัดสินใจกลับมาสู้คดีที่ยังเหลืออีก 2 คดี และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ซึ่งขอชื่นชมที่พนักงานสอบสวนได้มีการอธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างครบถ้วน ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถสู้คดีได้อย่างมั่นใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

นายจักรภพ กล่าวอีกว่า โดยเวลา 15 ปีที่ผ่านมาคิดถึงเมืองไทยทุกวัน พ่อแม่ก็เสียชีวิตระหว่างที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ซึ่งต้องระหกระเหินลี้ภัยไปอยู่ 5 ประเทศ เป็นประเทศที่เข้าใจ และเห็นใจในการต่อสู้ทางการเมืองของตน แต่ก็อยู่อย่างมีมารยาทไม่ให้ประเทศนั้นอึดอัด หรือได้รับความเดือดร้อน โดยระหว่างนั้นได้ติดตามข่าวสารประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา ลำบากกายไม่เท่าไหร่แต่มีความลำบากใจมากกว่า เวลาผ่านไปทำให้ตนเองคิดอะไรได้เยอะ รู้สึกเสียดายเวลาที่จะรับใช้ประเทศชาติ

นายจักรภพ กล่าวว่า จากนี้ไปจะตั้งใจว่าจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ รับใช้ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นบทบาทใดก็ตาม จะไม่มาสร้างความวุ่นวายอะไรอีก การทำการเมืองก็เป็นวิถีทางหนึ่งที่ตนเองสามารถช่วยทำประโยชน์ได้ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปมาก การเมืองภาพใหญ่ในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ทำให้เพิ่มความมั่นใจว่าบรรยากาศต่างๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น

นายจักรภพ กล่าวว่า ส่วนกระแสข่าวที่มีการดีลกันจึงทำให้ได้กลับประเทศไทยนั้น ยอมรับว่ามีการพูดคุย แต่ไม่ได้เป็นการเจรจาเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง มีการพูดคุยว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหาจุดร่วมเพื่อทำอะไรให้ดีขึ้น อีกทั้งยังยอมรับว่าก่อนตัดสินใจกลับประเทศไทยมีการพูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่ถึงขั้นปรึกษา ซึ่งนายทักษิณ ได้บอกกับตนเองว่า อะไรหลายๆ อย่างในประเทศไทย เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น

นายจักรภพ กล่าวว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ตนอยากทำคือ เสนอตัวกลางช่วยเหลือบุคคลที่ลี้ภัยทางการเมือง โดยดูจากความยากง่ายของคดี ช่วยเหลือผู้ที่มีคดีง่ายก่อน ส่วนกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไปสำหรับตน สิ่งแรกที่ทำก็คือ จะไปกราบร่างคุณแม่ที่ยังไม่ได้ฌาปนกิจ ซึ่งเก็บร่างไว้ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน และไปกราบคุณพ่อที่ฌาปนกิจไปแล้วที่บ้านน้องสาว จากนั้นจะไปสักการะศาลหลักเมืองต่อ