เมื่อวันที่ 22 เม.ย.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564-2573 (Steering Committee on the Implementation of Bangkok Master Plan on Climate Change 2021-2030) ว่า  

ในพื้นที่กทม. ได้ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์หรือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 43,000,000 ตันต่อปี จุดมุ่งหมายคือต้องพยายามลดให้ได้ ทั้งนี้ ก๊าซเรือนกระจกเกิดจากหลากหลายที่มา ส่วนใหญ่พบว่ามาจากภาคพลังงาน ซึ่งได้แก่ การใช้พลังงานในอาคาร การใช้เครื่องปรับอากาศ และการใช้พลังงานที่มาจากภาคการขนส่ง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้รวมแล้วมากกว่า 90% เป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกทมทั้งหมด 


ที่เหลือเป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการฝังกลบขยะ ทำให้เกิดก๊าซมีเทนและส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งน้ำเน่าเสีย โดยทั้งหมดจะลดลงด้วยการช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว

ผู้ว่าฯ กทม.  กล่าวเพิ่มเติมว่า กทม. ได้พยายามพูดถึงเรื่อง Net Zero หรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ซึ่งเป็นcommitment ที่กทม. มีเช่นเดียวกับทั่วโลก แต่จริงๆแล้วเราควรมองที่เป้าหมายระยะสั้น ทำให้ชัดเจนขึ้น โดยในปีพ.ศ. 2573 ได้กำหนดเป้าหมายที่จะลดคาร์บอนให้ได้อย่างน้อย 10,000,000 ตัน โดยในวันนี้ได้มีการพูดถึงแผนพลังงาน เพราะพลังงานเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหากว่า 90% ขณะนี้ได้พยายามแยกย่อยเป้าหมายในแต่ละปีเพื่อทำให้ชัดเจน


ซึ่งจริงๆแล้วก็มีหลายมาตรการที่จะช่วยทั้งในเรื่องของการขนส่ง การส่งเสริมการใช้รถขนส่งมวลชนให้มากขึ้น การลดการใช้น้ำมัน และการใช้โซลาร์เซลล์ให้มากขึ้น ซึ่งเรามีมาตรการหลายอย่างที่จะทำให้กทม. กลายเป็นมหานครของโซลาร์เซลล์ ให้มีการใช้พลังงานจากแสงแดดให้มากขึ้น  ซึ่งเป็นพลังงานพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก 


ในส่วนของกทม.ได้โฟกัสที่ 3 เขต โดยเชิญองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มาช่วยวัด ว่าแต่ละเขตได้สร้างก๊าซเรือนกระจกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอย่างน้อยตัวเราเองต้องดูก่อนว่าเราผลิตมากน้อยแค่ไหน จากนั้นเราจะขยายผลไปทุกเขต รวมถึงชุมชนต่าง ๆ ในเขตด้วย ที่ผ่านมาความคืบหน้าต่าง ๆ ก็เป็นไปได้ค่อนข้างดี


นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า ที่ผ่านมาองค์การก๊าซเรือนกระจกฯ ได้ร่วมกับกทม. บูรณาการการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในภาพรวมของทั้งจังหวัดและเขตต่าง ๆ โดยเริ่มจาก 3 เขตและตามแผนจะทำให้ครบทั้ง 50 เขต โดยแต่ละเขตต้องดูทั้งการปล่อยพลังงานไฟฟ้าและการใช้น้ำมัน รวมถึงการบริหารจัดการขยะต่าง ๆ เพื่อให้เขตต่าง ๆ สามารถวางแผนการลดตามเป้าหมายของตัวเองได้ ซึ่งทางองค์การก๊าซเรือนกระจกฯ จะได้เข้าไปช่วยสร้างแพลตฟอร์มในการประเมิน ทั้งในระดับเขตและจังหวัด โดยจะนำไปบูรณาการกับอีก 76 จังหวัด ซึ่งเราพร้อมสนับสนุนระบบวัดและเชื่อมโยงระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล


ด้านที่ปรึกษาของผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า แผนการดำเนินการจึงต้องมาจาก 3 ส่วน คือหนึ่งการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพของพลังงาน เช่น การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟแอลอีดีหรือการจำกัดความเย็นของอาคาร ซึ่งใช้พลังงานเยอะมาก สองคือการส่งเสริมการใช้พลังงานพลังงานทดแทน และสามคือเรื่องของการส่งเสริมการใช้การเดินทางทางเลือก ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ต้องเผยแพร่ให้กับประชาชนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของตัวเอง และให้แผนของภาคประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 10,000,000 ตันต่อปีของกทม.


ในการประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564-2573 (Steering Committee on the Implementation of Bangkok Master Plan on Climate Change 2021-2030) ที่ประชุม ได้พิจารณารายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ประกอบด้วย รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564-2573 จำนวน 160 โครงการ 


โดยที่ประชุมขอให้เปรียบเทียบความสำเร็จของโครงการกับเป้าหมาย และโครงการที่สำเร็จแล้วให้คิดเป็นปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ เพื่อให้เห็นความสำเร็จตามตัวชี้วัด จากนั้นที่ประชุม ได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างโยโกฮามากับกรุงเทพมหานคร (City-to-City Collaboration for Zero-Carbon Society) โดยผู้แทนโครงการ OECC (Overseas Environmental Cooperation Center) ประเทศญี่ปุ่น
สำหรับรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการศึกษาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยแบบจำลอง Asia-Pacific Integrated Model (AIM) คณะทำงานได้กำหนดกรอบการทำงาน

โดยตั้งเป้าสมมติฐานภายใต้ Scenario ต่างๆ และเห็นว่าหากกทม.ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ จะต้องเริ่มจากการใช้พลังงานสะอาดภายในหน่วยงาน ร่วมกับภาคประชาสังคมให้ความร่วมมือแยกขยะ เพื่อให้การจัดการขยะในภาพรวมดีขึ้น ส่วนการแก้ไขในอนาคตต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน ที่ประชุมเห็นว่าในระยะยาวหากมีโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศโดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ให้มากขึ้นจะทำให้กทม.สามารถลดก๊าซเรือนกระจกในอนาคตได้อย่างชัดเจน ร่วมกับการรณรงค์ให้ประชาชนและทุกภาคส่วนตระหนักถึงการแยกขยะ


“สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ หัวใจคือเรื่องการเดินทาง ที่ต้องเข้าไปดูที่ต้นตอ ในระบบรถที่ใช้ EV ก็ต้องดูว่าสามารถลดคาร์บอนได้กี่ตันและอาจต้องใช้มาตรการทางกฎหมายควบคู่กันด้วย ซึ่งกทม.ไม่ได้มีอำนาจควบคุมทั้งหมด แต่มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมา สภากทม.ได้เคยเห็นชอบข้อบัญญัติควบคุมรถโดยสารสาธารณะให้เป็น EV แต่สุดท้ายคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่าไม่ใช่อำนาจของกทม.ในการควบคุมรถโดยสารสาธารณะ จึงทำให้ต่อไปกทม.ต้องมาดูเรื่องที่อยู่ในอำนาจ เช่น มาตรการแยกขยะ คนไหนที่แยกขยะจะจ่ายค่าจัดการขยะที่น้อยลง โดยต้องพยายามหามาตรการให้มากขึ้น สุดท้ายจะต้องนำมาตรการทางเศรษฐกิจเข้ามาจูงใจ ดูว่าจะนำกฎหมายที่มีมาออกข้อบังคับได้อย่างไรเพื่อโน้มน้าวประชาชน” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว 


ในส่วนของรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของกรุงเทพมหานคร (Carbon Footprint for Organization: CFO) โดยกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม กทม.และรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ องค์การJICA องค์การGIZ องค์การGCoM และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC)


“ความร่วมกับต่างประเทศมีหลายโครงการต้องพยายามทำให้ชัดเจนขึ้น อย่างทางญี่ปุ่นก็ได้ให้ความเหลือ กทม.มาอย่างเหนียวแน่นตลอดมา” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาแผนการดำเนินการประจำปีของการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครประจำปี 2567 และร่างแผนปฏิบัติการพลังงานกรุงเทพมหานคร (Bangkok Energy Action Plan) โดยแผนปฏิบัติการพลังงานกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2567 – 2573 มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ1. กำหนดกรอบและทิศทางการดำเนินงานในระดับแผนปฏิบัติการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและภาคขนส่งในกรุงเทพมหานครอย่างเป็นรูปธรรม2.กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของภาคพลังงานและภาคขนส่งที่สอดคล้องกับมาตรการที่ระบุในแผนแม่บท

กรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ศ. 2564-2573)3. เป็นแนวทางเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครมีการดำเนินงานที่สอดคล้องหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงช่วยสร้างความต่อเนื่องและความยั่งยืน4.เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานคร ตลอดจนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน


ทั้งนี้จะแบ่งแผนเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พ.ศ.2566-2567 ระยะเตรียมความพร้อม ระยะที่ 2 พ.ศ.2568-2570 การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ อย่างเต็มรูปแบบ และระยะที่ 3 พ.ศ.2571-2573 ส่งเสริมการดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ ในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง และสามารถติดตามประเมินผลโครงการและมาตรการต่าง ๆ เพื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์และปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก


“แผนแม่บทต้องยืดหยุ่นสามารถเพิ่มและลดได้ พร้อมกำหนด KPI ตัวชี้วัดให้ชัดเจน และพิจารณาเรื่องการออกกฎหมาย การออกข้อบัญญัติ กทม.ว่าจะนำมาใช้อย่างไรเพื่อจูงใจประชาชนให้ร่วมโครงการให้มากขึ้น นอกจากนี้เห็นว่าการตั้งเป้าหมายไกลไปนั้นไม่ดี ควรทำเป้าหมายให้สั้นเพื่อให้เห็นผลได้ทันที” ผู้ว่าฯกทม.กล่าว.