เมื่อวันที่ 6 พ.ค. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่า รัฐบาลมีแนวคิดแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 เพื่อลดความอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และตนเชื่อว่าจากการส่งสัญญาณผ่าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวถึง ธปท. ว่าเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ผู้ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องหาวิธีการเพื่อตอบสนองความต้องการนี้อย่างแน่นอน ขณะที่การแก้ไขกฎหมายย่อมเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ต้องถูกจับตาเป็นพิเศษ ซึ่งหากมีการยื่นแก้ไขกฎหมายนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะการลดความอิสระของ ธปท. จะส่งผลเสียหายต่อประเทศ ส่วนการปรับปรุง พ.ร.บ.ธปท. ล่าสุด เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วที่มีความครอบคลุมหลายส่วน ทั้งเรื่องความอิสระและให้มีความโปร่งใส สร้างการถ่วงดุลฝ่ายการเมืองที่เป็นผู้ใช้เงินให้อยู่ในหลักการที่ถูกต้อง และเพื่อความมั่นคงปลอดภัยในสถานะทางการเงินของประเทศ ซึ่งเป็นหลักสากลที่ทั่วโลก ได้กำหนดให้อำนาจของธนาคารกลางให้มีความอิสระ และแยกการใช้อำนาจออกจากฝ่ายการเมืองอย่างชัดเจน

นายราเมศ กล่าวอีกว่า รัฐบาลอึดอัดใจ ไม่สบายใจต่อท่าทีของผู้ว่าการ ธปท. ที่ท้วงติงหรือไม่เห็นด้วยกับโครงการแจกเงินผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลพยายามผลักดัน แต่ด้วยกฎหมายมีความเข้มแข็งในเรื่องการปลดผู้ว่าการ ธปท. รัฐบาลจึงไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะกฎหมายระบุชัดว่า นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามแล้ว ผู้ว่าการจะพ้นจากตำแหน่งได้ต่อเมื่อเสียชีวิต ลาออก หรือขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือคณะรัฐมนตรีมีมติให้ออกโดยคำแนะนำของรัฐมนตรี เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือทุจริตต่อหน้าที่ หรือคณะรัฐมนตรีมีมติให้ออกโดยคำแนะนำของรัฐมนตรีหรือการเสนอของรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการ ธปท. เพราะบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ โดยมติดังกล่าวต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาของผู้ว่าการ ธปท. เป็นไปด้วยความสุจริตใจเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง และเพื่อให้เห็นความคุ้มค่าของงบประมาณแผ่นดิน แต่ถ้ารัฐบาลเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตของผู้ว่าการ ธปท. เป็นความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือถึงขั้นทุจริตต่อหน้าที่ บกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ ขอท้าให้รัฐบาลรีบปลดได้เลย