ถัดมาวันที่ 8 พ.ค. 67  “ปลัดตู่” กฤษฎา จีนะวิจารณะ ทำหนังสือลาออกจาก รมช.คลัง  เนื่องจากเกิดความน้อยใจในการแบ่งงาน ของ 3 รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ที่กินรวบ กระทรวงการคลัง ทำให้ “รัฐมนตรีข้าวนอกนา” ต้องเดินจากไปและจดหมายลาออก ยังทิ้งระเบิดใส่ถึง “ขุนคลังคนใหม่” นายพิชัย ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ไม่ให้เกียรติต่อกัน ไม่สามารถทำงานร่วมกันให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้

จนล่าสุด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ถึงคิว “ทนายตระกูลชิน”  พิชิต ชื่นบาน  ลาออกจาก รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอดีตทนายความของอดีตนายกฯ จากตระกูลชินวัตรทั้ง 2 คน ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลคดีนายทักษิณ ชินวัตร ในยุคหลังรัฐประหาร 2549 ต่อเนื่องถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในยุคหลังรัฐประหาร 2557 “พิชิต” เจอ อดีตไล่ล่า จากข่าวครึกโครมจากข้อกล่าวหา “ถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท” โดยลูกทีมไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในช่วงพิจารณาคดีที่ดินรัชดาภิเษก ที่มี นายทักษิณ อดีตนายกฯ กับ คุณหญิงพจมาน ภรรยา (ขณะนั้น) ตกเป็นจำเลย  โดยศาลฎีกามีคำสั่ง ในวันที่ 25 มิ.ย. 2551 ให้จำคุกนายพิชิตกับพวกรวม 3 คน ฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นเวลา 6 เดือน ไม่รอลงอาญา

ซึ่ง “พิชิต”  ชิงลาออก เนื่องจากถูก สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ยื่นเรื่องผ่าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา วันที่ 15 พ.ค. 2567 ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

การลาออกของ “พิชิต”  ที่เป็นรัฐมนตรีได้เพียง 19 วัน ถือเป็นการสละ “เรือ” เพื่อรักษา “ขุน”  ซึ่งปรากฏในหนังสือลาออกที่ระบุว่า “เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี ที่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าด้วยความต่อเนื่อง” อีกทั้งการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี มีผล 1-2 วัน ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องวินิจฉัย 40 สว.ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 23 พ.ค.นี้

ซึ่งถือว่า “สายไปแล้ว” ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะล่าสุด  วันที่ 23 พ.ค. 67 มีทั้ง “ข่าวดี” และ “ข่าวร้าย” จากศาลรัฐธรรมนูญ เนื่อง จากศาลได้รับคำร้อง “40 สว.” ไว้พิจารณา โดยไม่ได้สั่งให้ นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถือว่ายังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่จะทำให้ “เศรษฐา” มีโอกาสรอด จากเดิมที่มีหลายฝ่ายมองว่า กรณีนี้ รอดยาก เพราะความผิดได้สำเร็จแล้ว  โดยต้องรอดูว่า ช่วงเวลา 15 วัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้ชี้แจง “เศรษฐา” จะพลิกเกมได้ไปต่อหรือไม่ หรือจะกลายเป็นฝันร้ายในชีวิตนักการเมืองของ “เศรษฐา”

รวมไปถึงท่าที ของ “นายใหญ่” ว่าจะตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของ “เศรษฐา” อย่างไร เพราะอย่าลืมว่า บัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังเหลือบุคคลสำคัญ คือ  “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดีเอ็นเอ  “ทักษิณ  ชินวัตร” อยู่เต็มตัว  อีกทั้งการโหวตนายกรัฐมนตรี  ถ้าจะมีขึ้นในครั้งต่อไปก็ไม่ต้องไปยืมมือ สว. อีกแล้ว  

และที่สำคัญ “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ”.