เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รอง นายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดเผยหลังเข้าร่วมการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษ ว่า ประเด็นหนึ่งที่หารือกันในที่ประชุมครั้งนี้คือการสนับสนุนให้มีการจัดทำกฎหมายควบคุมป้องกันโรคระหว่างประเทศให้มีความเข้มข้น เพราะที่ผ่านมา เรายังไม่ได้มีการปฏิบัติต่อกันด้วยการใช้ข้อกฎหมาย แต่ใช้หลักการขอความร่วมมือ จึงจะทำกฎหมายให้มีความเข้มข้นขึ้น โดยจะจัดตั้งคณะทำงานสรุปและจัดทำเนื้อหาต่อไป ซึ่งประเทศไทยสนับสนุนเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ที่ประชุมยังพูดคุยถึงการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนว่าถ้าทุกประเทศให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน การเว้นระยะห่าง และการปฏิบัติตัวตามวิถีชีวิตใหม่ที่มีการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด ก็จะสามารถป้องกันสายพันธุ์โอไมครอนได้ ทั้งนี้ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกพูดในที่ประชุมว่าขอให้ทุกประเทศเร่งฉีดวัคซีนซึ่งภายในสิ้นปีนี้ ประชากรโลกอย่างน้อยควรได้รับวัคซีนครอบคลุม 40 เปอร์เซ็นต์ และให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ ในกลางปี 2565 สำหรับประเทศไทยถือว่าโชคดีเพราะขณะนี้สามารถฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรได้กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ แล้ว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ผอ.องค์การอนามัยโลก ได้ย้ำถึงเรื่องการเข้าถึงวัคซีน ซึ่งปัจจุบัน ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี จะได้รับวัคซีนจำนวนมาก แต่ประเทศยากจนมีอำนาจในการต่อรองน้อย มีอัตราการฉีดวัคซีนน้อยมาก 0.4 เปอร์เซ็นต์ จะดีขึ้นในระยะหลัง ดังนั้นขอให้ประเทศที่สามารถเข้าถึงวัคซีนคิดถึงเรื่องของการเผื่อแผ่วัคซีนให้กับประเทศยากจนด้วย เพราะโรคโควิด-19 เป็นวาระของโลก การปลอดภัยคนเดียวไม่สามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับนโยบายของรัฐบาลไทยและของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้เร่งฉีดวัคซีนให้คนไทยและคนต่างชาติที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งจากนี้หากมีการบริหารจัดการวัคซีนที่เพียงพอ เราก็จะพิจารณาหมุนเวียนวัคซีนให้กับประเทศอื่นๆด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าหากประเทศไทยจัดการวัคซีนได้ดี ก็จะมีการบริหารส่งต่อให้กับประเทศที่ต้องการวัคซีนต่อไป