เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติขับ ร.อ.ธรรมนัส​ พรหมเผ่า ส.ส.พะเยาและ ส.ส. ในกลุ่มรวมทั้งหมด 21 คน​ ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ว่าการประชุมสภาสมัยสามัญ ที่เหลืออีก 5 อาทิตย์ รัฐบาลคงไม่กล้าเสนอกฎหมายสำคัญ อาทิ กฎหมายการเงิน เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ แน่นอน เพราะหากมีปัญหานายกฯ ต้องรับผิดชอบ ประกอบกับมือในสภาเสียงฝ่ายรัฐบาลคงไม่พอ ฝ่ายรัฐบาลคงประคองสถานการณ์ไปจนถึงวันปิดประชุมสภา 28 ก.พ.

“เมื่อเปิดประชุมสภาในสมัยหน้า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป ยังไม่รู้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาอย่างไร เพราะในสมัยประชุมหน้า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นญัตติเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี ดังนั้นระหว่างสมัยการประชุม พ.ค.-ก.ค. หาก พล.อ.ประยุทธ์ รู้พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายวันไหน อาจชิงยุบสภาก่อน วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในภาวะเสือติดจั่น ถูกบีบจากฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเอง” รองประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าว

นายสมคิด กล่าวว่า เท่าที่มอง พล.อ.ประยุทธ์ คงจะไปได้ยากแล้ว กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส ออกไปประมาณ 21 เสียง และหากพาพรรคเล็กๆ ออกไปด้วยอีก 9 เสียง รวมแล้วประมาณ 30 เสียง ขณะที่เสียงฝ่ายรัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายค้านประมาณ 30 กว่าเสียงเท่านั้น และต้องไปดูด้วยว่าในการประชุมสภาหรือการโหวตรัฐมนตรีจะมาประชุมหรือร่วมโหวตด้วยหรือไม่ เสียงรัฐมนตรีอีก 7-8 เสียง อาจหายไปด้วย

“หากมีการยุบสภา ฝ่ายค้านไม่มีปัญหา พรรค พท. เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง จัดวางผู้สมัครแล้วเสร็จ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นถ้าจะยุบอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์หน้าไม่เป็นปัญหา ขณะที่ความสัมพันธ์ 2 พี่น้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น จะให้บอกว่าไม่มีปัญหาก็คงไม่ใช่” นายสมคิด กล่าว

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจตัดสินใจยุบสภาก่อนกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งแล้วเสร็จ อาจทำให้ไปใช้กฎหมายฉบับเดิมจัดการเลือกตั้ง ตามที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการนั้น นายสมคิด กล่าวว่า คงไม่มีผล เพราะรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ และ ส.ส.เขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้แล้ว และสามารถใช้ช่องทางให้ ครม.หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศเกี่ยวกับกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง มาประกาศใช้สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าไปได้ก่อน

เมื่อถามว่า เสียงของฝ่าย ร.อ.ธรรมนัส 21เสียง จะหันมาเป็นพันธมิตรการเมืองกับพรรค พท. หรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า เขายังอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ส่วนจะโหวตหรือจะต่อรองกันอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หลังจากนี้คงมีการต่อรองกันเองทั้งเรื่องผลประโยชน์และตำแหน่งมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสภาและประชาธิปไตย การเมืองนับจากนี้อะไรก็พร้อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ดีเรื่องที่เกิดมาจากรัฐธรรมนูญปี 60 ที่เขียนให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้รัฐบาลเป็นเป็ดง่อย ไม่สมกับที่บอกจะปฏิรูปการเมือง แต่กลับทำให้การเมืองถอยหลังไปอีก 40 ปี.