จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว จ.ส.อ.ยงยุทธ มังกรกิม อายุ 58 ปี เจ้าหน้าที่เสมียน สังกัด วทบ. ที่มีอาการคลุ้มคลั่งได้ยิงเพื่อทหารดับ 2 ศพ และเจ็บสาหัสอีก 1 ราย สารภาพจะมาก่อเหตุยิงนายทหารสัญญาบัตรให้ครบ 10 ศพ แต่ไม่มีใครอยู่ เนื่องจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง อาจารย์ประจำ รวมถึงเจ้าหน้าที่ติดภารกิจอบรมสัมมนาที่ จ.เพชรบุรี จึงทำการยิงจ่าเพื่อนทหารแทน ตามที่ได้เสนอไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. มีรายงานว่า ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัว จ.ส.อ.ยงยุทธ มังกรกิม ตำแหน่ง เสมียนวิทยาลัยการทัพบก หลังก่อเหตุยิงเพื่อทหารดับ 2 ศพ และเจ็บสาหัสอีก 1 ราย เอาไว้ได้นั้น จากการตรวจสอบปืนที่ใช้ เป็นปืนสั้นชนิดกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ BROWNING พร้อมกระสุนปืนจำนวน 84 นัด อยู่ในกระเป๋าสะพาย และบางส่วนอยู่ในกระเป๋ากางเกง

ทั้งนี้ขณะเกิดเหตุพบว่า จ.ส.อ.ยงยุทธ ได้เดินเข้าไปไล่ยิงเพื่อนทหารภายในห้องพักกว่า 10 นัด จนหมดแมกกาซีน ก่อนที่จะบรรจุกระสุนใหม่แล้วยิงไปอีก 2-3 นัด จากนั้นจึงเดินออกมาภายนอกห้องพัก พร้อมกับมองหานายทหารระดับสัญญาบัตร แต่ไม่พบตัว

‘จ่าคลั่ง’ ตั้งใจยิงให้ครบ10ศพ! ‘ทหารสัญญาบัตร’ รอดหวุดหวิด เพราะติดงานสัมมนา

รวบแล้ว! ‘จ่าคลั่ง’ ยิงทหารดับ 2 ศพ สารภาพตั้งใจมาฆ่า ‘นายทหารสัญญาบัตร’ แต่ไม่อยู่

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบประวัติพบผู้ต้องหาเคยก่อเหตุยิงปืนในพื้นที่ สน.ธรรมศาลา ก่อนถูกดำเนินคดีในข้อหา “พกอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยมิได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว”

ส่วนภรรยาพร้อมบุตรชายและบุตรสาวของ จ.ส.อ.ยงยุทธ ได้เดินทางมายัง สน.ดุสิต โดยบุตรชายได้นำเอกสารการรักษาของแพทย์ ซึ่งหน้าแฟ้มเขียนว่า ตารางหมอนัด วิ่งลงจากแท็กซี่ขึ้นไปยังบริเวณชั้น 3 อย่างเร่งรีบ ขณะที่ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผอ.สำนักพระธรรมนูญทหารบก ซึ่งเดินทางมาสอบปากคำร่วมกับพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า จากการสอบสวน ผู้ก่อเหตุมีอาการป่วย เคยประสบอุบัติเหตุจนต้องผ่าตัดสมองเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว จึงทำให้มีอาการทางสมอง คิดมาก มีอาการน้อยใจ เพราะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาก็มาทำงานบ้าง ไม่ทำงานบ้าง ทางผู้บังคับบัญชาจึงให้ไปดูแลรับผิดชอบงานที่ไม่หนักมาก นอกจากนั้นยังมีอาการผลข้างเคียงตามมา อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะหรือมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือกับผู้ตายมาก่อน แต่พบว่าก่อนหน้านี้ มีการใช้กำลังทำร้ายคนในครอบครัว สำหรับอาวุธปืนนั้น งานในส่วนรับผิดชอบไม่มีความจำเป็นจะต้องพกพาอาวุธปืน จึงไม่มีใครทราบว่าผู้ก่อเหตุพกปืนมาทำงานได้อย่างไร