จากกรณีที่เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) ได้เปิดเผยถึงผลการตรวจเลือดพยานบุคคลบนเรือ คดีนักแสดงสาวแตงโม-นิดา ว่าพบสารเสพติดของพยานบุคคลจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นสารกลุ่มเบนโซไดอาซิปินส์ ชนิดอัลปราโซแรม (Alprazolam) ซึ่งในวงการนักดื่มขนานนามกันว่า ยาเสียสาว นั้น

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ได้เปิดเผยในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ระบุว่า ปอ-ตนุภัทร ยอมรับว่าเป็นคนใช้ยาดังกล่าว อ้างว่ากินยาเพื่อแก้เครียด เป็นการกินหลังจากที่เกิดเหตุการณ์บนเรือไปแล้วเพราะนอนไม่ได้ ด้วยความเครียดจึงให้ลูกน้องไปเอามาให้จากคลินิกแห่งหนึ่ง ก่อนที่นายปอจะไปตรวจสอบเลือดในร่างกายและเจอสารตัวดังกล่าว

ขณะที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือทนายตั้ม ได้เปิดเผยว่า เท่าที่ตนทราบมา จะมีกลุ่มนักเที่ยวกลางคืนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มักจะใช้ยาเสียสาวตัวนี้ เวลาที่ไปเที่ยวแล้วไปเจอผู้หญิงที่ชอบที่ถูกใจ แล้วผู้หญิงอาจจะไม่เล่นด้วยหรือเหตุผลอะไร ก็จะเอายาตัวนี้หยอดลงไปในเครื่องดื่มของผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงเกิดความมึนเมา แล้วตัวเองก็ไปทำมิดีมิร้ายกับผู้หญิง และเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งของคนที่เกี่ยวข้องกับคดีแตงโม ได้แจ้งตนมาว่า มีนายคนนี้ มักจะใช้ยาเสียสาวบ่อยครั้งในสมัยก่อนที่ไปเที่ยวด้วยกัน บุคคลที่เล่าให้ตนฟังเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ ว่าทุกครั้งที่ไปเขาจะพกยาตัวนี้ไปด้วย แล้วถ้าเจอผู้หญิงที่ชอบ ก็จะใช้ยาตัวนี้หยอดลงไป เพื่อให้ผู้หญิงเกิดความมึนเมาและไปทำมิดีมิร้าย

ส่วนการที่นายปอ (ปอ-ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์) ออกมายอมรับว่าได้ใช้ยาตัวนี้จริง และได้กล่าวว่า ให้ลูกน้องไปซื้อยาตัวนี้หลังจากเกิดเหตุแตงโมเสียชีวิตแล้ว เพื่อระงับความเครียด ในส่วนนี้นั้น มันมีอยู่ในสำนวนตำรวจตั้งนานแล้ว แต่ตนอยากถามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้มีการสืบสวนสอบสวนต่อ ก่อนที่จะส่งไปให้พนักงานอัยการหรือไม่ ว่าที่นายปอได้พูดว่าได้ไปซื้อยาตัวนี้หลังเกิดเหตุนั้น จริงหรือไม่ แล้วก่อนหน้านี้ นายปอมียาตัวนี้อยู่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สังคมเกิดความสงสัยได้ว่าได้มีการใช้ยาตัวนี้ก่อนหรือหลังน้องแตงโมเสียชีวิตหรือไม่ แล้วใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร