เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 15 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม​ พร้อมคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ​ ภายหลังเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ สมัยพิเศษ (ASEAN – U.S. Special Summit) 12 – 13 พ.ค.65​ ที่​กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ​และถือเป็นโอกาสครบรอบ 45 ปีความสัมพันธ์อาเซียนกับสหรัฐ

จากนั้น​ 07.05 น.​ พล.อ.ประยุทธ์​ ให้สัมภาษ​ณ์สื่อมวลชน​ว่า​ การเข้าร่วม​ประชุมได้มีการหารือในทุกเรื่อง​ และมีโอกาส​การเดินทางมาครั้งนี้ ยังได้มีโอกาสพบปะหารือกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงผู้นำระดับสูงของสหรัฐฯ และภาคธุรกิจสหรัฐ​ รวมไปถึงได้มีโอกาสพบปะกับประชาชนคนไทยในสหรัฐ ได้มีการทักทายและสอบถามสารทุกข์สุกดิบ​ ทุกคนมีความสุข รวมทั้งตนได้เล่าให้ฟังด้วยว่าตอนนี้ประเทศไทย​มีอะไรเปลี่​ยนแปลงและพัฒนาอะไร​ไปแล้วบ้าง​ 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าได้ขอบคุณสหรัฐฯที่ได้ให้การสนับสนันดูแลด้านสุขภาพ​ของไทย เช่นวัคซีนโควิด-19​ และการร่วมมือกันนำพาประเทศ นอกจากนี้ได้เสนอด้านมนุษยธรรมที่เกี่ยวข้องกับสงคราม​ที่เกิดขึ้น​ และความเสียหายที่จะต้องช่วยกันดูแล รวมทั้งเรื่องเศรษฐกิจ​ที่เสนอการฟื้นฟูระหว่างไทย-สหรัฐ ให้ดีมากยิ่งขึ้น​ เนื่องจากไทยเป็นแกนกลางอาเซียน​และจะเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของสหรัฐ​ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน​และเทคโนโลยีอัจฉริยะ​ อีกทั้งยังได้หารือกับนักลงทุนในต่างประเทศ​ให้มาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น​เนื่องจากเป็นช่วงของการลงทุนใหม่ในหลายประเทศ ​ซึ่งไทยมีโอกาสในตรงนี้มาก​ ทั้งนี้ทราบว่า​จะมีการนำนักธุรกิจรายใหญ่ของโลกมาเยือนประเทศสมาชิก​อาเซียนโดยใช้ไทยเป็นฐานในปี 66 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี​ 

ในที่ประชุมใหญ่ตนเองได้เรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันอย่างจริงจัง ในการเดินตามเพื่อบรรลุเป้าหมาย​การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ​ ยืนยันว่าการประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ภายใต้ความร่วมมือที่เป็นรูปประธรรมระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ โดยเฉพาะความมั่นคงด้านสาธารณสุขพลังงาน การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนามนุษย์ เพื่อให้หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ระหว่างเรามีความเข้มแข็งและมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นสนับสนุนการฟื้นฟูหลังโควิด-19 อย่างยั่งยืน และในฐานะที่เป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปีนี้นั้น ได้ถือโอกาสเชิญชวนประธานาธิบดีสหรัฐ เข้าร่วมการประชุมผู้นำทางเศรษฐกิจ ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งมองว่าเป็นเวทีสำคัญที่ไทยจะผลักดันสร้างเสริมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก​

นายกรัฐมนตรียังกล่าวเน้นย้ำว่าการประชุมเป็นประโยชน์อย่างมากมาย ไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์ ขออย่ากังวล ยืนยันรัฐบาลไม่เคยหยุดนิ่งสิ่งสำคัญที่สุด เครียดเรื่องเศรษฐกิจ เราต้องมองไปข้างหน้าเราทำงานอย่างมีวิสัยทัศน์ และเดินหน้าประเทศไทยยังทิศทางใด จะร่วมมือกับใคร เราพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสิ่งสำคัญคือประเทศไทยจะต้องสงบเรียบร้อย ประเทศไทยจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม ที่ปลอดภัยและมีความสงบสุข เป็นแกนกลางของอาเซียน เพราะตนอยากให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ทุกคนก็อยากมา​ ใช้เป็นเวทีพูดคุยในการแก้ปัญหาในทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาสิ่งที่เรามีอยู่ในวันนี้ ให้ได้ตลอดไป 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายยาเซอร์ บิน อุสมาน อัล-รูมัยยาน (Yasir bin Othman Al-Rumayyan) ประธานกรรมการกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund: PIF) ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่านายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกันในวันนี้ยินดีด้วยกับกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย PIF ได้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าอันดับหนึ่งของโลก ขณะนี้ไทยกำลังยกเลิกมาตรการเข้าประเทศซึ่งเป็นไปตามพัฒนาการด้านการจัดการโควิด-19 ทั้งนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกความร่วมมือระหว่างไทยซาอุได้ดีขึ้น โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปด้วยดีแล้ว ไทยยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือ และความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

นายธนกร กล่าวต่อว่า ด้านนายยาเซอร์ บิน อุสมาน อัล-รูมัยยานกล่าวว่า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซอัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีคำสั่งให้ได้มาพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้เพื่อหาโอกาสเพิ่มความร่วมมือกับประเทศไทยในด้านต่างๆ โดยซาอุดีอาระเบียประสงค์ที่จะมีความร่วมมือกับไทยทางการค้าการลงทุน และด้านพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจพลังงานและแก๊ส ในโอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อหาโอกาสสร้างความร่วมมือระหว่างกันในหลายด้าน เช่น การท่องเที่ยว การกีฬา E-sports และ Soft power รวมทั้ง ซาอุดีอาระเบียหวังจะมี Business Dialogue ร่วมกับไทย เพื่อสร้างโอกาสและสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างกัน และใช้ไทยเป็นฐานลงทุนในภูมิภาคด้วย.