เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวถึงการปลดล็อกกัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดว่า ตนห่วงผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะการสูบและขับรถ เนื่องจากกัญชามีผลต่อสมองทำให้สมรรถนะในการขับขี่รถลดลงเหมือนเมาสุราแล้วขับรถ ในขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายลงโทษผู้ที่เมากัญชาแล้วขับออกมาแต่อย่างใด ดังนั้นขอวิงวอนประชาชน หากมีการใช้กัญชาขออย่าออกมาขับขี่ยานพาหนะเด็ดขาด เพราะเป็นอันตรายทั้งกับตัวเองและผู้ร่วมทางบนท้องถนน ขอฝากไปยังรัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการควบคุมการการสูบกัญชาแล้วขับรถ เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมบนท้องถนนซ้ำเติมสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยที่รุนแรงอยู่แล้วให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก

ทางด้าน ศ.นพ.สิริชัย ชยสิริโสภณ Neurologist และนักวิจัยการใช้กัญชาทางการแพทย์ จากรัฐ California USA กล่าวในการเสวนนาศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ท่าผ่านมา ว่าในกัญชามีสารสำคัญจำนวนมาก ที่สำคัญคือ THC มีฤทธิ์เสพติด ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และ CBD ไม่มีฤทธิ์เสพติด ทั้งนี้สารนั้นจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของกัญชา ขอย้ำว่ากัญชาไม่ได้รักษาทุกโรค และเป็นเพียงรักษาอาการเท่านั้น ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุของโรค เมื่อหยุดอาการก็กลับมาอีกหากเป็นอาการเรื้อรัง ทั้งนี้ การใช้ก็ต้องรู้ปริมาณ THC เพราะเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ เลื่อนลอย มึนเมา ท้องเสีย อาเจียน ความคิดเชื่องช้า ความจำเสื่อม ถ้าได้รับปริมาณสูงจะทำให้ประสาทหลอน ทั้งนี้หากคนไม่เคยใช้มาก่อนสารนี้อยู่ในร่างกายนาน 56 ชั่วโมง ส่วนคนที่เคยใช้มานาน สารนี้จะอยู่ได้ 128 ชั่วโมง จึงต้องระวัง ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์

“มีรายงานการสูบกัญชานานๆ มีผลเสียต่อปอดรุนแรงกว่าการสูบบุหรี่ ผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีการอักเสบของหลอดลม ปอด ที่สำคัญคือมะเร็งปอด อีกทั้งยังมีปัญหาทางสมอง ไอคิวต่ำ เนื้อสมองฝ่อ สติปัญญาเสื่อม เฉื่อยชา ตัดสินใจผิดพลาด จิตหลอน และเป็นโรคจิตได้ จึงต้องช่วยกันรณรงค์ไม่ให้มีการสูบ” ศ.นพ.สิริชัย กล่าว

ส่วน รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผอ.ศศก. กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยมีนโยบายใหม่เกี่ยวกับยาเสพติด มองผู้เสพเป็นผู้ที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ส่วนผู้ค้ายังคงรับโทษทางกฎหมายนั้น ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการแก้กฎหมายหลายฉบับ มีการอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ การอนุญาตให้ใช้ใบประกอบอาหารได้ จึงมีผู้ใช้กัญชามากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงการปลดกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดผิดกฎหมาย ถือเป็นชาติแรกในเอเชียที่เปิดให้มีการใช้อย่างเสรี ค่อนข้างเสรีที่สุดในโลก แม้จะไม่ส่งเสริมให้ใช้สันทนาการ แต่การใช้สันทนาการก็ไม่มีกฎหมายควบคุมเฉพาะ โดยที่กำลังจะมีการควบคุมเป็นเพียงเรื่องการสูบสร้างความรำคาญ การสูบแล้วขับขี่ยานพาหนะ อาจมีการห้ามโฆษณาออกมา บทเรียนในต่างประเทศที่มีการใช้กัญชาเสรี ใช้สันทนาการ เช่น แคนาดา อุรุกวัย โดยหวังแก้ปัญหากัญชาใต้ดิน กลับพบว่ามีคนใช้กัญชามากขึ้น คนป่วยเข้าห้องฉุกเฉินที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น

“ดังนั้นประเทศไทยต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ให้ความรู้การใช้กัญชาอย่างถูกต้อง ระวังไม่ให้ใช้ในเด็ก เพราะมีผลกระทบต่อพัฒนาการ สมอง จิตใจ ซึมเศร้า เสี่ยงฆ่าตัวตาย ต้องเตรียมรูปแบบการรักษาการเสพติดกัญชาให้พร้อม เพราะจากข้อมูลที่ผ่านมาแม้จะเป็นการใช้เพื่อรักษาโรค แต่พบว่าผู้ป่วยไม่ได้ซื้อน้ำมันกัญชาจากแหล่งที่ปลอดภัย แต่ซื้อทางออนไลน์ หรือแหล่งที่หาซื้อพิเศษ” รศ.พญ.รัศมน กล่าว

ขณะที่ พญ.ปัจฉิมา หลอมประโคน รอง ผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายกระทรวงสาธารณสุขปี 65 เรื่องสมุนไพรกัญชา กัญชง แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกให้เข้าถึงอย่างปลอดภัย ระยะที่สองคือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนของการใช้ทางการแพทย์นั้น กรมการแพทย์กำหนดการใช้กัญชารักษาโรคเป็น กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ 1. คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด 2.โรคลมชักรักษายาก ดื้อต่อยารักษา 3.กล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง 4. ปวดประสาท 5. ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ ที่มีน้ำหนักตัวน้อย และ 6.เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะประคับประคอง หรือระยะสุดท้ายของชีวิต อีก 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ คือโรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ วิตกกังวลทั่วไป และปลอกประสาทอักเสบ และกลุ่มที่อาจจะได้ประโยชน์ในอนาคต เช่นการรักษามะเร็ง ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลอง จึงขอให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษาที่เป็นมาตรฐาน อย่าใช้กัญชาเป็นทางเลือกแรก ทั้งนี้ในปี 65 มีการเปิดคลินิกกัญชาทั่วประเทศได้เกินเป้าหมาย 70% ผู้ป่วยทั้งหมดใช้กัญชาทางการแพทย์เพิ่มขึ้น 5% ทั้งนี้เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 64 พบว่ามีการใช้กัญชาทางการแพทย์เพิ่มถึง 73%.